กรณีเยาวชนชาย อายุ 17 ปี อาศัยอยู่กับปู่และย่าในพื้นที่ จ.อุดรธานี ได้ถูกกลุ่มแก๊งคอลเซนเตอร์โทรศัพท์หลอกลวง อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จนสูญเงินกว่า 3.4 ล้านบาท วันที่ 12 ธ.ค.67
15 มกราคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.ประจำ (สบ 6)ฯ รรท.ผบก.สอท.1 และ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 รรท.ผบก.สอท.3 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์จับเพิ่มอีก 1 คือ นายมารุด ผู้ต้องหาบัญชีม้าแถวที่ 3 ผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเยาวชนอายุ 17 ปี และย่า สูญเงิน 3.4 ล้านบาท ย้ำสืบจับต่อที่เหลือ ไม่ปล่อยผ่าน
พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ กก.1 บก.สอท.3 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเยาวชนอายุ 17 ปี และย่า สูญเงิน 3.4 ล้านบาท รวม 9 ราย ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจได้ติดตาม จับกุมได้แล้ว 2 ราย คือ นายภีมากร เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.67 และ น.ส.กรรณิกา เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 จับกุมได้ที่จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ กล่าวว่า กระทั่งวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์นำกำลังจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวเพิ่มอีก 1 ราย ได้แก่ นายมารุด ผู้ต้องหาบัญชีม้าแถวที่ 3 โดยจากการสืบสวนทราบว่า นายมารุดได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ จึงวางแผนจับกุมแต่ไม่พบตัว ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า นายมารุด จะเดินทางกลับไปที่ จ.นครราชสีมาโดยรถยนต์ จึงประสาน สภ.บ้านปรางค์ ตรวจสอบและสกัดรถคัน ดังกล่าว จนกระทั่งสามารถสกัดรถยนต์ต้องสงสัยไว้ได้
ตรวจสอบภายในรถพบชาย 2 คน และหญิง 1 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ นายมารุด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น , ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจด้วยการขู่เข็ญ , ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน" เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงย่าและหลานชายวัย 17 ปี โอนเงินกว่า 3.4 ล้านบาทนั้นตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหา 9 ราย รวมจับกุมได้แล้ว 3 ราย ยืนยันผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีตำรวจไซเบอร์ไม่ปล่อยผ่านแน่นอน จะเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดี
อีกทั้งคดีนี้มีความเชื่อมโยงกับคดีของ น.ส.ชาล็อต ออสติน ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มจีนเทาที่ไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เราจึงต้องมีการขยายผลและต้องดำเนินการเกี่ยวกับความมั่นคง ก็จะต้องมีการเข้าพูดคุยเจรจากับฝั่งของประเทศกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป