svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

เปิดสาเหตุ "เจจูแอร์" ชนรั้วสนามบิน ดับ 64 ล้อไม่กางเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้

เปิดสาเหตุ "เจจูแอร์" ชนรั้วสนามบินเกาหลีใต้ ล่าสุดดับ 64 ราย เบื้องต้นสันนิษฐานสาเหตุเกิดจากล้อไม่ทำงาน เนื่องจากนกชน นักบินพยายามบินวนและนำเครื่องลง แต่ลดความเร็วไม่ได้

จากกรณี เครื่องบินโดยสารของเกาหลีใต้ "สายการบินเจจูแอร์" พร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือรวม 181 คน  ออกบินจากกรุงเทพฯ ปผระเทศไทย ประสบเหตุตกที่สนามบินมูอัน ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 คน ล่าสุดยอดตัวเลขพุ่งมากกว่า 60 คน ตามข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้

ล่าสุด ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เปิดเผยในวันอาทิตย์ว่า เครื่องบินโดยสารของเจจูแอร์เบี่ยงออกนอกรันเวย์และชนกับรั้วของสนามบินในเมืองมูอัน จังหวัดช็อลลาใต้ เมื่อเวลา 09.07 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะกำลังจะลงจอดที่สนามบิน มีผู้โดยสาร 175 คน ได้แก่ ชาวเกาหลีใต้ 173 คน เป็นชาวไทย 2 คน และลูกเรือ 6 คน บินจากกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 01.30 น. ของเกาหลีใต้ และกำหนดลงจอดที่มูอันในเวลา 8.30 น.  

ล่าสุดหน่วยดับเพลิง ยืนยันมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 64 ราย แต่เชื่อว่า อีก 115 รายอาจเสียชีวิตด้วย และมีผู้รอดชีวิตเพียง 2 คน เป็นลูกเรือชายและหญิง

เครื่องบินเกิดไฟลุกท่วม และเจ้าหน้าที่ใช้เวลา 43 นาทีจึงดับไฟได้สนิท หน่วยกู้ภัยยังคงพยายามค้นหาผู้รอดชีวิต หลังจากเบื้องต้นช่วยชีวิตได้ 2 ราย และเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุของเครื่องบินตก 
เปิดสาเหตุ \"เจจูแอร์\" ชนรั้วสนามบิน ดับ 64 ล้อไม่กางเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้

เปิดสาเหตุล้อไม่กาง

ขณะที่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เครื่องบินอาจเกิดปัญหาล้อไม่กาง ซึ่งอาจเกิดจากนกชน โดยเครื่องบินพยายามลงจอดครั้งแรกแต่ล้อไม่ทำงาน จึงพยายามบินวนและพยายามลงจอดอีกครั้งด้วยลำตัวเครื่องบิน แต่ไม่สามารถลดความเร็วลง ทำให้เลยรันเวย์และชนรั้วที่ปลายสุดของรันเวย์ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ในเวลา 09.07 น. 

รักษาการประธานาธิบดี ชเว ซาง มก ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อวันศุร์ หลังจากรักษาการประธานาธิบดีคนก่อนถูกลงมติถอดถอน สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ และเขากำลังจะไปตรวจจุดเกิดเหตุด้วย
เปิดสาเหตุ \"เจจูแอร์\" ชนรั้วสนามบิน ดับ 64 ล้อไม่กางเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
ภาพข่าว : Yonhap via REUTERS