สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัด จับมือกันลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลสายกลางเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรีมิเชล บาร์นิเยร์ ด้วยเสียง 331 เสียงจากทั้งหมด 577 เสียงเมื่อวันพุธ ส่งผลให้นายบาร์นิเยร์ และคณะรัฐมนตรี จะต้องลาออกทั้งคณะ และบาร์นิเยร์เตรียมยื่นหนังสือลาออกในวันนี้ หลังจากเพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 กันยายน หรือเพียง 3 เดือน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 62 ปี ที่รัฐบาลฝรั่งเศสต้องพ้นจากอำนาจด้วยมติไม่ไว้วางใจ นับตั้งแต่ปี 2505
ญัตติไม่ไว้วางใจเสนอโดยพรรคนิว ป็อปปูลาร์ ฟรอนท์ ที่เป็นพรรคฝ่ายซ้ายจัด และได้รับการสนับสนุนจากพรรคแนชันแนล แรลลี ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด นำโดยนางมารี เลอเพน และการลงมติมีขึ้นหลังจากบาร์นิเยร์ใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ ผ่านร่างงบประมาณประจำปีเมื่อวันจันทร์ โดยไม่ผ่านการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภา และมีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกพรรคฝ่ายค้านหลายคนที่ต้องการให้ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ลาออก เพื่อผ่าทางตันทางการเมืองครั้งนี้
แต่ประธานาธิบดีมาครง ยืนยันจะดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระในปี 2570 และจะสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งจะเป็นคนที่ 4 นับจากเข้าบริหารประเทศ โดยเขาขอให้บาร์นิเยรักษาการตำแหน่งไว้ก่อน จนกว่าจะมีการแต่งตั้งคนใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
มาครงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เมื่อต้องจัดตั้งรัฐบาลที่สร้างความพอใจให้ทั้งพรรคฝ่ายซ้ายจัดและฝ่ายขวาจัด ซึ่งเขามีตัวเลือกน้อยมาก และยังมีเส้นตายที่ร่างงบประมาณจะต้องผ่านมติเห็นชอบก่อนวันที่ 21 ธันวาคม รวมทั้งจะยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ได้ภายในเวลา 1 ปี นับจากการเลือกตั้งที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว
มาครงสูญเสียความนิยมอย่างต่อเนื่อง หลังจากเขาเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการเสี่ยงจัดเลือกตั้งทั่วไปในประเทศก่อนกำหนด หลังพรรครัฐบาลพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในเดือนมิถุนายน และเมื่อพรรคฝ่ายซ้ายจัด “นิว ป็อปปูลาร์ ฟรอนท์” เป็นฝ่ายชนะ แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ มาครงจึงเลือกแต่งตั้งบาร์นิเยร์เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทำให้ถูกประณามว่า เป็นการทำลายประชาธิปไตยและการก่อรัฐประหาร