กระทรวงกลาโหมรัสเซีย เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า ยูเครนยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS ของสหรัฐฯ 6 ลูก ใส่แคว้นไบรอันสก์ของรัสเซียช่วงเช้ามืด แต่ระบบป้องกันภัยทางอากาศสามารถสกัดได้ 5 ลูก และทำลายได้ 1 ลูก
และเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย แถลงข่าวขณะอยู่ร่วมการประชุมกลุ่มจี20 ที่นครริโอเดจาเนโรของบราซิลว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณว่าชาติตะวันตกต้องการยกระดับของสงคราม และ “เราจะถือว่าสิ่งนี้เป็นการเข้าสู่เฟสใหม่ของสงครามของชาติตะวันตกต่อรัสเซีย และเราจะตอบโต้อย่างเหมาะสม”
รัสเซียเตือนมานานแล้วว่า ขีปนาวุธพิสัยไกลดังกล่าวต้องอาศัยการตั้งโปรแกรมโดยผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ และการนำทางด้วยดาวเทียมของสหรัฐฯ และเมื่อยูเครนใช้อาวุธชนิดนี้โจมตีรัสเซีย ก็เท่ากับว่าสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในสงครามแล้ว และรัสเซียจำเป็นต้องตอบโต้
การโจมตีด้วยขีปนาวุธ ATACMS มีขึ้นในวันที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนดำเนินมาครบ 1,000 วัน และเพียง 2 วันหลังจากสื่อรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ โจมตีลึกเข้าไปในแผ่นดินของรัสเซียได้ ตามที่ยูเครนร้องขอมานานหลายเดือน
ลาฟรอฟ เตือนให้ชาติตะวันตกอ่านประกาศคำสั่งที่ลงนามโดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินในวันอังคารที่ให้ลดกฎเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างละเอียดทั้งหมด
หลักการนิวเคลียร์ ซึ่งกำหนดกรอบเงื่อนไขสำหรับการใข้อาวุธนิวเคลียร์ มีการปรับแก้ไขใหม่และได้รับการอนุมัติจากปูตินเมื่อวันอังคาร โดยเพิ่มสถานการณ์ที่เข้าเกณฑ์ให้ตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้มากขึ้น ได้แก่ การโจมตีจากประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการหนุนหลังจากประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ให้ถือว่าเป็นการโจมตีร่วมต่อรัสเซีย นอกจากนี้การโจมตีครั้งใหญ่ต่อรัสเซียด้วยขีปนาวุธ โดรน หรือ เครื่องบิน รวมถึงการโจมตีในเบลารุส ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน หรือ ภัยคุกคามร้ายแรงอื่นใดต่ออธิปไตยของรัสเซีย
ส่วนฉบับเมื่อปี 2563 กำหนดเพียงว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ในกรณีถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากศัตรู หรือ การโจมตีด้วยอาวุธตามแบบที่คุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศ
ขณะที่ยูเครนแสดงความกังวลและกำลังจับตาว่า เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมปีหน้า จะหยุดให้การช่วยเหลือทางทหาร และพยายามผลักดันข้อตกลงยุติสงคราม ที่จะบีบให้ยูเครนต้องสละดินแดนบางส่วนให้รัสเซียหรือไม่