25 ธันวาคม 2567 เมื่อเวลา 23.30 น. ร.ต.อ.สยาม สวนอินทร์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.คลองท่อม จ.กระบี่ รับแจ้งมีเหตุฆ่ากันตาย ริมถนนบ้านทุ่งนุ้ย หมู่ 7 ต.พรุดินนา หลังรับแจ้ง จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ทิวากร คงเพ็ชร ผกก.สภ.คลองท่อม ตำรวจชุดสืบสวน สภ.คลองท่อม จนท.พิสูจน์หลักฐาน ภ.จ.กระบี่ แพทย์เวร รพ.คลองทอม เดินทางไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นริมถนนในสวนปาล์ม พบพบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อต่อมาคือ นายสมพงษ์ คงนิล อายุ 39 ปี อดีตเคยเป็น ผช.ผญบ.หมู่ 10 นอนเสียชีวิตอยู่ในป่าข้างทาง ผู้ตายสวมเสื้อยืดคอกลม กางเกงยีนส์ขาสั้น สวมหมวกไหมพรม ปิดบังใบหน้า ในมือซ้ายของผู้ตาย กำมีดปลายแหลมเปื้อนเลือด ยาว 1 ฟุต
นอกจากนี้ ที่ตัวผู้ตายพบบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธมีด เข้าที่หน้าขาทั้งสองข้างฝั่งละแผล คมมีดตัดเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เสียเลือดมาก จนกระทั่งเสียชีวิต ขณะที่ในกระเป๋ากางเกงผู้ตาย พบเงินสด 11,600 บาท ข้างศพผู้ตายพบอาวุธปืนลูกซองยาว แบบไทยประดิษฐ์ ตกอยู่ 1 กระบอก สภาพด้ามปืนหัก ใกล้กันพบกระสุนปืนลูกซองยังไม่ได้ยิง ตกอยู่ 2 นัด สร้อยข้อมือทองคำตกอยู่ 1 เส้น รถ จยย. ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีส้ม ไม่ปิดป้ายทะเบียน จอดอยู่ 1 คัน ที่ตะกร้าหน้ารถมีมีดกรีดยางอยู่ 2 เล่ม ห่างจากจุดพบศพไปประมาณ 20 เมตร พบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ ตอนเดียว สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน จอดหลบอยู่ข้างทาง ใกล้กับรถกระบะ พบรองเท้าแตะ 1 คู่ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องตกอยู่ จึงเก็บทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน
นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุตำรวจพบกับ นายจักรภัทร ปานแก้ว ผญบ.หมู่ 5 ต.พรุดินนา ยืนรอให้ข้อมูลกับตำรวจว่า ตนเองเป็นคนมาถึงที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุได้ไม่นาน เนื่องจากหลานสะใภ้ คือ น.ส.อาภัสรา กรดเต็ม อายุ 28 ปี ขี่รถไปตามตนที่บ้าน บอกว่า สามีซึ่งเป็นหลานชายตน คือ นายรุจชิโรจน์ รักแก้ว อายุ 35 ปี ถูกคนดักทำร้าย จึงรีบมาดู ก็พบผู้เสียชีวิต และหลานชายตน นอนเจ็บอยู่ข้างทาง โดยตอนนั้นนั้นผู้เสียชีวิตนอนนิ่งหมดสติไปแล้ว ตนจึงรีบพาหลานชายซึ่งได้รับบาดเจ็บ และหลานสะใภ้ ไปส่งที่โรงพยาบาลคลองท่อม
สอบถามจากหลานในเบื้องต้น ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่หลานชายและหลานสะใภ้ ขี่รถกลับจากไปกรีดยาง กำลังจะกลับบ้าน มาถึงจุดเกิดเหตุ เป็นที่มืดและเปลี่ยว ก็พบผู้ตายขับรถกระบะมาจอดดักรออยู่ โดยผู้ตายสวมหมวกไหมพรม หลานจึงคิดว่าเป็นคนร้ายมาดักทำร้าย จึงเข้าไปต่อสู้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่พอได้ยินเสียงพูดคนร้ายก็จำได้ว่าเป็น นายสมพงษ์ เพราะเป็นเพื่อนกันกับหลาน แต่ตอนนั้นนายสมพงษ์ ถูกมีดแทงเข้าที่ขาเลือดทะลักออกมาจำนวนมาก และเสียชีวิตไปแล้ว หลานสะใภ้จึงขี่รถไปตามหาตนที่บ้าน
ส่วนปมเหตุ คาดว่ามาจากปัญหาชู้สาว เนื่องจากก่อนนี้ ผู้ตายมาชอบพอหลานสะใภ้ จนทั้งคู่เริ่มจะมีปัญหากัน เมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ ตนจึงเรียกทั้งคู่มาพูดคุยตกลงกันแล้ว ซึ่งผู้ตายก็รับปากว่า จะไม่มาข้องเกี่ยวกับหลานสะใภ้อีก กระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้ตายน่าจะตั้งใจมาดักรอทำร้าย ทำให้ฝ่ายคนเจ็บลงมาต่อสู้ โดยคนตายพกอาวุธมีดติดตัวมาด้วย จึงน่าจะเกิดการแย่งชิงอาวุธมีดกัน ทำให้มีดพลาดไปแทงที่ขาผู้ตายทั้งสองข้าง ตัดเส้นเลือดใหญ่จนเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนอาวุธปืน ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นของฝ่ายไหน ตำรวจต้องรอให้ฝ่ายคนเจ็บอาการดีขึ้นก่อน จากนั้นจะเชิญตัวมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง
ตร.เชื่อปมเหตุชู้สาว เผยอดีต ผช.ผญบ.ยิงใส่ 1 นัด แต่พลาด ก่อนถูกรุมแย่งมีดแล้วถูกแทงดับ
ต่อมา พ.ต.อ.ทิวากร คงเพ็ชร ผกก.สภ.คลองท่อม เปิดเผยว่า จากการพูดคุยฝ่ายคนเจ็บในเบื้องต้น ช่วงเกิดเหตุนายรุจชิโรจน์ และ น.ส.อาภัสรา ขี่รถ จยย.ออกจากสวนยางพารา ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กม. โดยนายรุจชิโรจน์ เป็นผู้ขับขี่ มี น.ส.อาภัสรา นั่งซ้อนท้าย เมื่อขี่มาถึงที่เกิดเหตุ พบผู้ตายสวมหมวกไหมพรมคลุมศีรษะ สวมไฟฉายคาดศีรษะ ยืนถือปืนยาวดักรออยู่ นายรุจชิโรจน์ เห็นรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ จำได้ว่าเป็นรถของผู้ตาย และจำเสียงผู้ตาย ตอนพูดข่มขู่ให้ทั้ง 2 คน ลงจากรถได้ เมื่อทั้ง 2 ลงจากรถ ผู้ตายใช้เท้าถีบ น.ส.อาภัสรา และใช้ปืนทุบนายรุจชิโรจน์ เข้าที่แขนซ้าย ใบหน้า และศีรษะ 3-4 ครั้ง
น.ส.อาภัสรา พยายามห้าม ผู้ตายจึงใช้อาวุธปืนยิงใส่นายรุจชิโรจน์ ไป 1 นัด แต่กระสุนพลาดเป้า จากนั้นผู้ตาย กำลังจะเปลี่ยนกระสุนใหม่ น.ส.อาภัสรา จึงเข้าไปยื้อยุดฉุดกระชากแย่งปืนกันกับผู้ตาย จนไปล้มอยู่ข้างถนน โดย น.ส.อาภัสรา นั่งทับผู้ตายอยู่บริเวณหน้าอก นายรุจชิโรจน์ จึงวิ่งตามไปทับส่วนขาท่อนล่างของผู้ตายไว้ ผู้ตายจึงชักมีดพกจากเอวจ้วงแทงใส่นายรุจชิโรจน์ แต่นายรุจชิโรจน์ ปัดป้องไว้ และยื้อแย่งกันจนมีดไปถูกที่ต้นขาผู้ตายทั้งสองข้าง ข้างละ 1 แผล เป็นเหตุให้ผู้ตาย ถึงแก่ความตายดังกล่าว
ส่วนปมเหตุ คาดว่ามาจากเรื่องชู้สาว เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ตายชอบไปตามตอแยภรรยาของคนเจ็บ จนคนเจ็บทราบเรื่อง และเคยมีการนัดเคลียร์ปัญหากันแล้ว แต่ฝ่ายผู้ตายยังไม่ยอมจบ จึงมาดักรอทำร้ายดังกล่าว หลังจากนี้ต้องรอสอบปากคำฝ่ายคนเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนจะมีการแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ ต้องรอตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างละเอียด เพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย