30 ตุลาคม 2567 ความคืบหน้ากรณีที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำพยาน หรือพลเมืองดี ออกมาให้ข้อมูลธุรกิจ "ดิไอคอนกรุ๊ป" ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 ทางตำรวจได้เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมา นายเอกภพ เปิดใจให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว "เนชั่นทีวี" ผ่านทางโทรศัพท์ เนื่องจากติดภารกิจอยู่ โดยบอกว่า เรื่องข้อมูลคริปโต เป็นเรื่องที่พลเมืองดีที่เป็นพยาน ไปเจอทรานเซ็กชั่นต่างๆ แล้วเอามาแจ้งตนเองทางไลน์ ซึ่งตนเองมีหลักฐานทั้งหมด เดิมตนเองไม่รู้เรื่องนี้ พอพลเมืองดีส่งข้อมูลเข้ามา ได้อ่านแล้วก็มองว่าถ้าเป็นเงินของกลุ่มบอสจริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ทำให้เจ้าหน้าที่ได้ติดตาม เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีล้ำหน้าไป เราเองก็อาจจะรู้ไม่เท่าทัน และเมื่อพลเมืองดีให้รายละอียดมาแล้วตนเองก็เลยได้สอบถามพลเมืองดีในหลายประเด็น ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินของใคร
ซึ่งที่ผ่านมา ตนเองยืนยันมาตลอดว่า เราไม่ยืนยันฟันธงว่าเงินตรงนี้เป็นเส้นเงินของดิไอคอนหรือไม่ แต่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บอสต่างๆ เขาถูกจับ และที่ตนโพสต์ ก็มองว่าเพราะมีเจตนาที่ดี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองตรวจสอบเรื่องนี้ดู ว่าถ้าใช่ จะได้ดึงเงินมาคืน แต่หากดูแล้วยังไม่ใช่ก็เท่านั้น และตนเองไม่เคยพูดยืนยันว่าเป็นเงินของดิไอคอน แค่มองว่ามันน่าสงสัยที่เกิดขึ้นในชาวงเวลานั้นจึงอยากให้ตรวจสอบ
นายเอกภพ กล่าวด้วยว่า ส่วนที่จะมีการดำเนินคดีกับตนเองที่พาพยานมาให้การเท็จ ขอถามกลับว่า "ที่ผมพาพยานมาให้การเท็จคือยังไง ตำรวจเป็นคนติดต่อผมว่าให้พาพลเมืองดีรายนี้ไปให้ข้อมูลหน่อย ผมก็พาไปให้ข้อมูล"
ส่วนจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ตนเองไม่รู้ และที่พยานไปให้การกับตำรวจ กับที่มาบอกกับตนเองตรงกันหรือไม่ ตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะตนเองไม่ได้นั่งอยู่กับพยานในขณะสอบปากคำ แต่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่พยานบอกเล่าให้ตนเองฟัง มีหลักฐานทั้งหมด
"พยานรายนี้ผมไม่ได้ติดต่อเอง เขาเป็นคนติดต่อมาหาผมว่าอยากจะให้ข้อมูลต่างๆ แล้วพี่มีหลักฐานหมดเพราะเขาส่งข้อมูลมาในแชทของเพจ จนกระทั่งมีการพูดคุยกัน ผมก็มีหลักฐานตอนคุย เพราะตอนพยานอธิบาย ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจขายตรง ไม่รู้เรื่องคริปโต พี่เลยบอกพยานว่า งั้นขอบันทึกข้อมูล บันทึกเสียงเอาไว้ เพราะจะต้องเอาเปิดฟัง เพื่อศึกษา ผมจึงบันทึกเอาไว้ ดังนั้นจึงมีหลักฐานทั้งหมด และยืนยันว่า ข้อมูลที่ได้มาพยานเป็นคนให้ จึงส่งให้เจ้าหน้าที่เผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย" นายเอกภพ ระบุ
ส่วนในวันที่พยานบอกกับนายเอกภพ เขาได้บอกหรือไม่ว่าตัวพยานเกี่ยวข้องกับดิไอคอนอย่างไร นายเอกภพ บอกว่า ตนเองก็มีหลักฐาน เพราะได้ถามพยานชัดเจนว่าข้อมูลที่ได้มาได้อย่างยังไง พยานก็อ้างว่า ได้มาจากบอสคนที่กำลังหนีตาย ซึ่งตนเองถามว่าเป็รบอสคนไหน พยานก็บอกชื่อมา แล้วตนเองก็ถามว่า พยานทราบข้อมูลอย่างไรเขาก็อธิบายรายละเอียดมา ซึ่งตนเองย้ำว่ามีหลักฐานทั้งหมดบันทึกไว้ ทั้งแชทและคลิปเสียงคลิปวีดีโอ
"ต่อให้พยานจะไปให้การกับตำรวจแล้วกลับคำให้การว่าสิ่งที่ออกมาพูดเขาไม่ได้พูด หรือผมพูดเอง ผมมีหลักฐานทั้งหมด" นายเอกภพ กล่าว
นายเอกภพ ยังบอกอีกว่า หากต้องถูกดำเนินคดีจริงๆ ก็พร้อมสู้คดี แต่ก็อยากรู้ว่า จะถูกดำเนินคดีเรื่องอะไรด้วย ทั้งนี้หลังจากที่พาพยานมาให้การ ยอมรับว่า ก็ยังคุยปกติ และยังถามเขาว่าทำไมตำรวจถึงมาให้รายละเอียดแบบนี้ว่าเป็นพยานเท็จ ซึ่งพยานเขาก็แจ้งนายเอกภพว่า เขาอธิบายไปแล้วว่าข้อมูลที่ได้มาส่วนหนึ่งได้มาจากการค้นหาในกูเกิ้ล และไปดูข้อมูลเก่าๆ ซึ่งพยานรายนี้ก็ไปหาจากตรงนั้น และส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการขายตรงของเขา
พร้อมยืนยันว่า "ผมไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องเมคพยานขึ้นมา ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาพยานเท็จไปให้การ เพราะผมไม่รู้จักดิไอคอน ไม่มรธุนกิจอะไรกับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่วันนี้ประชาชนเดือดร้อนเยอะ ผมสงสารประชาชนตรงไหนที่พอข่วยได้และเป็นประโยชน์ก็ส่งต่อให้ตำรวจ"
ผู้สื่อข่าวเลยถามว่า เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เสียกำลังใจหรือไม่ นายเอกภพ ตอบว่า ก็มีบ้างนิดหน่อย เพราะเรามีเจตนาดีไม่ได้มีเจตนาร้าย และทุกวันนี้ยังแปลกใจว่า ทะเลาะกับดิไอคอน หรือทะเลาะกับหน่วยงานรัฐ และวันนี้ตนเองก็ช่วยเจ้าหน้าที่ ข้อมูลที่ได้มามันเกิดขึ้นในอดีต แต่เรามั่นใจหน่วยงานที่มีในปัจจุบันว่าจะสามารถสะสางเรื่องนี้ได้ และเราไม่ได้ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ คนที่ต้องโกรธตนเองควรเป็นดิไอคอน
ส่วนที่ทนายความจะแจ้งความเอาผิดนั้น ตนเองก็ไม่มีปัญหา และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพราะ "ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจเรื่องนี้มาก"
ยันเดินหน้าช่วยประชาชนต่อ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หมดไปตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา นายเอกภพ ระบุว่า ท่านพูดถูกอยู่แล้ว เพราะตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีหมดวาระลงตามรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันเท่าที่ตนเองทราบ มท.1 ก็ยังไม่ได้แต่งตั้งใครมาดำรงตำแหน่งนี้ ดังนั้นการแต่งตั้งที่ปรึกษาเป็นดุลยพินิจของมท.1 อยู่แล้ว ท่านจะแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาครั้งหน้าจะมีชื่อตนเองหรือไม่ ตนเองไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือเสียใจอะไรทั้งนั้น เพราะทุกคนที่มาเป็นที่ปรึกษาต่างก็มีความรู้ความสามารถ
"ยืนยันว่า ไม่ว่าผมจะเป็นที่ปรึกษาหรือไม่เป็นที่ปรึกษา ผมก็ยังคงทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเหมือนเดิม เพราะความทุกข์ของชาวบ้านรอไม่ได้ และตอนนี้ก็เดินหน้าช่วยประชาชนต่ออยู่แล้ว
ส่วนการเมืองเป็นเรื่องอนาคต และการได้ช่วยชาวบ้านแบบนี้ก็เป็นความสุขดีอยู่ ซึ่งตอนที่ผมลงการเมือง เพราะมองว่า การแก้ปัญหาที่ผมทำอยู่เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่การแก้ปัญหาต้นเหตุต้องแก้กฎหมายเป็นเรื่องของนักการเมือง" ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวทิ้งท้าย