svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

เปิดใจรองผู้การสระบุรีฯ แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีดิไอคอน ความจริงเป็นแบบนี้

รองผู้การสระบุรี เปิดใจกับสื่อ หลังเข้าชี้แจง "บิ๊กอ้อ" ปมแต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีธุรกิจขายตรง ทำไมถึงทำแบบนี้ ยืนยันไม่งานของ "ดิไอคอน" แต่เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า

24 ตุลาคม 2567 ความคืบหน้ากรณี ปรากฏคลิป รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี แต่งกายเครื่องแบบข้าราชการตำรวจ ขึ้นไปพูดในงานที่ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จัดขึ้น โดยในคลิปดังกล่าว ได้มีการพูดในลักษณะการันตีว่า หากเข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน จะประสบความสำเร็จ โดยมีรายงานว่า ทาง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดทำคดีดิไอคอนกรุ๊ป ได้เรียกเข้าชี้แจง ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เตรียมสอบปากคำ 26 ต.ค.นี้ 
เปิดใจรองผู้การสระบุรีฯ แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีดิไอคอน ความจริงเป็นแบบนี้
 

ล่าสุด หลังมีรายงานว่า พ.ต.อ.สมคิด สาวิสัย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี เดินทางมารายงานตัวและให้ข้อมูลกับ ตำรวจสอบสวนกลาง กรณีแต่งกายเครื่องแบบข้าราชการตำรวจ ขึ้นไปพูดในงาน แห่งหนึ่งเชื่อมโยงกับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยในคลิปดังกล่าว ได้มีการพูดในลักษณะการันตีว่า หากเข้ามาร่วมทำงานด้วยกันจะประสบความสำเร็จ 

ซึ่งภายหลังให้ข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลางเสร็จสิ้น นักข่าวได้โทรโทรศัพท์ ไปสอบถามรายละเอียด โดย พ.ต.อ.สมคิด เปิดใจหลังให้ข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลางว่า วันนี้ได้เข้ามาชี้แจงรายละเอียดและข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งยืนยันได้ว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับดิไอคอนกรุ๊ป แต่ตนเองทำธุรกิจบริษัท เจอเนสส์ โกลบอล และเป็นแค่สมาชิก ไม่ได้เป็นบอส 

โดยเจอเนสส์ เป็นแบรนด์ของอเมริกา ที่ทำธุรกิจขายตรง และตนเองก็เป็นแค่สมาชิกคนหนึ่ง ที่ไปขายไปทำการตลาด เหมือนกับการซื้อมาขายไป ไม่ใช่ลูกทีม แต่เป็นสมาชิกของเจอเนสส์ปกติ ซึ่งย้ำว่า ไม่ได้เกี่ยวกับดิไอคอน ทั้งนี้ คลิปที่ปรากฎ เป็นเหตุการณ์ช่วงประมาณปี 2559-2560 หรือประมาณ 6-7 ปีแล้ว ตอนที่ขึ้นไปพูดตนเองทำอยู่ เจอเนสส์มาประมาณ 4-5 เดือนแล้ว
เปิดใจรองผู้การสระบุรีฯ แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีดิไอคอน ความจริงเป็นแบบนี้
 

พร้อมชี้แจงว่า เวทีในวันที่ตนเองขึ้นไปพูดก็ไม่ได้เกี่ยวกับดิไอคอนเช่นกัน เพราะ ในช่วงนั้น ดิไอคอน ก็เป็นสมาชิกของบริษัท เจอเนสส์ โกลบอล เหมือนกับตนเอง เป็นสมาชิกทั่วๆไป และเมื่อบริษัท เจอเนสส์ มีการจัดงานสัมมนา ใครที่เป็นสมาชิกของบริษัทเจอเนสส์ก็จะเข้าไปร่วมฟังสัมมนาในการให้ความรู้ เพื่อเอามาเป็นข้อมูลในการไปหาลูกค้า

 

“และตอนที่ผมทำ ดิไอคอน ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์อะไร เขาก็เป็นสมาชิกของ เจอเนสส์ ที่มาทำการตลาดเท่านั้น”

 

ส่วนสคริปที่พูดไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสคริปที่มีการเขียนให้พูดหรือไม่นั้น พ.ต.อ.สมคิด  ระบุว่า เป็นสคริปที่ตนเองพูดเอง ไม่ได้มีใครเขียนให้ และเป็นการพูดตามความรู้สึกว่ามันดี และตำรวจก็มีอะไรดีแต่ก็อยากหาอาชีพเสริม ซึ่งเจตนาของตนเองเป็นแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปก้าวล่วงหรือลบหลู่อะไรใคร “ผมแค่อยากทำให้เห็นว่าตำรวจก็ทำอาชีพเสริม และประกอบอาชีพที่สุจริตได้”

และเครื่องแบบตำรวจที่ใส่ไป เป็นการตั้งใจที่ใส่ไปเพื่อให้คนทั่วไปที่อยู่ในทีม อยู่ในกลุ่มเฉพาะที่มีการเรียนรู้กัน “เพื่อบอกว่า ผมเป็นตำรวจผมยังทำได้ ไม่ได้ตั้งใจใส่เพื่อการสาธารณะ และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายหรือเพื่อไปทุจริต หรือไปทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย ผมมั่นใจว่าผมเป็นตำรวจที่ทำอาชีพที่ ถูกต้องและพี่น้องประชาชน หรือคนที่อยากทำก็ทำได้ เพราะเจอเนสส์ ตอนนั้นมันถูกต้องตามกฎหมาย”

พ.ต.อ.สมคิด ยอมรับว่า ตอนที่ทำอยู่เจอเนสส์ ซื้อแพ็กเก็จไปประมาณ 4 หมื่นกว่าบาท ก็มีการขายสินค้าแบบซื้อและขายไป และมีสินค้าหลายอย่างที่ขายดี ทั้งเซรั่ม กาแฟ ซึ่งภาพรวมที่ทำแล้วก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะทำไม่สำเร็จ ไม่ได้ตามแนวทางที่เรากำหนด เนื่องจากไม่ได้ทำง่ายๆ แม้ก็ได้กำไรกลับมาบ้าง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายพวกค่าโฆษณา

และตนเองก็ทำอยู่แค่ 1 ปี ก็ออกมาจากธุรกิจนี้ เหตุผลที่ออกมาจากธุรกิจ เพราะตนเองก็มีงาน และที่สำคัญคือธุรกิจก็จะมีเวลาของมัน จะเหมาะกับเราตอนไหนหรือไม่เหมาะแล้วไปต่อไม่ได้ก็หางานใหม่ ก็เปลี่ยนงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนการติดต่อให้ขึ้นเวทีก็เป็นทีมงานติดต่อกัน 

พร้อมยืนยันว่า ‘ไม่เคยรู้จักบอสพอล ไม่เคยเจอด้วย’ ส่วนบอสของดิไอคอนทั้ง 18 คนที่เป็นผู้ต้องหา ในวันที่เข้าไปพูดในงานสัมมนาเคยเจอบ้างหรือไม่นั้น พ.ต.อ.สมคิด บอกว่า ตนเองจำไม่ได้ เพราะวันนั้นก็ไปไม่นานและไม่ได้รู้จักใคร

พ.ต.อ.สมคิด ยังยอมรับอีกว่า หลังจากที่เป็นข่าวก็ เครียดเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ถูกนำมาโยงกับเรื่องที่เป็นกระแสข่าวพอดี เลยทำให้เสียความรู้สึกนิดหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง และวันนี้ตนเองก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และการที่ตนเองได้เข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะแบบไหนไปทั้งหมดแล้ว ดังนั้นก็ขอให้ข้อเท็จจริงและความจริงได้ปรากฎ  และตนเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะไปเอาผิดใคร แค่อยากให้ทุกคนเข้าใจความจริงก็โอเคแล้ว และวันนี้ตนเองก็รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาพูดในสิ่งที่เป็นความจริงให้ทุกท่านได้เข้าใจ  ส่วนที่ ตำรวจ ปปป. จะเรียกเข้ามาให้ปากคำวันที่ 26 ต.ค.นั้น ตนเองก็พร้อมที่จะเข้าไปให้ข้อมูล