สงสัยนาฬิกาหรู "บอสพอล" จะเก๊ DSI เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

23 ตุลาคม 2567 ความคืบหน้ากรณี เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้าค้นห้องเช่าแห่งหนึ่งภายในซอยรามอินทรา 9 บางเขน กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดทรัพย์สินเป็นนาฬิกาหรู สร้อยคอทองคำ พร้อมพระเลี่ยมทอง และอื่นๆ หลายรายการ ของ บอสพอล มีมูลค่ารวมกว่า 40 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการนำเสนอภาพข่าว โดยเฉพาะ นาฬิกาหรูทั้ง 19 เรือนของบอสพอล ที่ดีเอสไอตรวจยึดมานั้น นักเล่นนาฬิกาเห็นภาพแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เก๊ยันกล่อง" ของปลอมทุกเรือน เมื่อนำรูปภาพบอสพอลใส่นาฬิกามาเทียบกัน พบว่าไม่ตรงกับนาฬิกาในกล่องที่ถูกยึด และยังแนะนำเจ้าหน้าที่ ให้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ นั้น


เช่นเดียวกับ เพจอีซ้อ ขยี้ข่าว ได้ออกมาโพสต์รูปภาพนาฬิกาหรู 19 เรือนที่เจ้าหน้าที่ DSI โดยระบุข้อความว่า “นาฬิกาบอส ตรวจสอบดีๆกันพลาด /เอาของปลอมมาสลับแทนของแท้ให้ยึด เอาของจริงหนี /ระวังเกิดตำรวจไม่เช็คดีๆก่อนยึดมาเก็บไว้ เกิดพบว่าเป็นของปลอมทีหลังเดี๋ยวโดนข้อครหาว่า ลักของกลาง และอีกโพสต์ คือ นาฬิกาปลอมแล้ว ระวังทองปลอมด้วยนะ

 

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ ระบุว่า ของกลางที่ยึดมาได้ โดยเฉพาะนาฬิกานั้น ยึดมาแล้ว ก็ได้ซีนเก็บรักษาไว้ที่ห้องมั่นคง และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญ จากกองคดีทรัพย์สินทางปัญญา เข้ามาตรวจสอบ จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นของจริงหรือปลอมตามกระแสข่าวที่ออกมา

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ทรัพย์สินที่มีการตรวจยึดมานั้น จะเป็นของปลอมหรือของแท้ ก็ต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งตนจะมอบหมายให้กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา เป็นผู้ดำเนินการและจะต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญ มานำทีมตรวจสอบ

อย่างไรก็ตาม หากบรรดานาฬิกาหรูที่ดีเอสไอยึดมานั้น ผลพิสูจน์พบว่าเป็นของปลอม ก็ไม่มีผลต่อการสืบสวนคดี เพราะต้องขยายผลว่า เหตุใดจึงนำไปซุกซ่อนในห้องพักดังกล่าว และมีครอบครองไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใด รวมทั้งมาจากการกระทำความผิดหรือไม่

 

นอกจากนี้ DSI ยังออกเอกสารขี้แจง กรณีตรวจค้นห้องพักในชอยรามอินทรา 9 ซึ่งจากการประเมินด้วยสายตา มีความคิดเห็นว่าเป็นของปลอม และตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษในการดำเนินการ นั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษขอชี้แจงว่า ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปภายใต้การสืบสวนตามพระราชบัญญัติ
การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ในความผิดเกียวกับการฟอกเงินทางอาญา และความผิดอื่นๆ ที่เกียวข้อง ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และการเข้าตรวจค้นดังกล่าว เป็นการดำเนินการโดยแสวงหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล และนำไปสู่การยื่นคำร้องของขอหมายค้นต่อศาล ตามขั้นตอนของกฎหมาย

ส่วนสิ่งของที่ตรวจยึดมานั้น มีทั้งสิ่งของที่เป็นพยานหลักฐานและทรัพย์สิน ตามที่ได้ข้อมูลจากพยาน ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบตามชั้นตอนแล้ว

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอยืนยันว่าในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เป็นไปตามภารกิจและอำนาจ
หน้าที่ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้ เมื่อได้ผลการตรวจสอบแล้วก็จะนำไปพิจารณาประกอบการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป