19 กันยายน 2567 หลังจากที่ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ บิ๊กต่อ ผบ.ตร.เข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ หรือ ก.ร.ตร. กรณีที่ถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาให้ข้อมูลว่า เกี่ยวข้องกับเครือข่ายเว็บพนันและส่วย 18 ธุรกิจ ล่าสุดทางคณะกรรมการฯ เรียก พ.ต.ท.สุรกุล ธัญสิริดำรง หรือ รองฟาง คนที่ทนายตั้มเคยออกมาให้ข้อมูลว่าเป็นพ่อบ้านคอยเก็บเงินส่วยส่งให้บิ๊กต่อมาให้ถ้อยคำในฐานะผู้ถูกร้องเรียน
ล่าสุดเช้าวันนี้ (19 ก.ย.) พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานคณะกรรมการ ก.ร.ตร. และ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ได้ให้สัมภาษณ์ ก่อนขึ้นไปสอบข้อเท็จจริงกับ พ.ต.ท.สุรกุล ธัญสิริดำรง หรือ รองฟาง คนที่ทนายตั้มเคยออกมาให้ข้อมูลว่าเป็นพ่อบ้านคอยเก็บเงินเว็บพนันและส่วย 18 ธุรกิจสีเทา
พล.ต.ท.สรศักดิ์ บอกว่า วันนี้ 09:30 น. ทางคณะกรรมการ ก.ร.ตร. ได้เชิญผู้ถูกร้องเรียนมา ไต่สวนสอบข้อเท็จจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางผู้ถูกร้องเรียนเคยส่งหนังสือคำชี้แจงมาให้คณะกรรมการแล้ว เหลือเพียงเข้ามาให้ถ้อยคำด้วยตัวเอง แต่หากวันนี้ผู้ร้องเรียนไม่เดินทางมาให้ข้อมูลคณะกรรมการก็จำเป็นที่จะต้องเรียกตัวซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนในการพิจารณา
ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช เผยว่า ข้าราชการที่ถูกร้องเรียนคนนี้ถือเป็นคนสำคัญของขบวนการ ถ้าไม่มาให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการ ก.ร.ตร. ในวันนี้ ถือว่าเป็นผลเสียกับตัวผู้ถูกร้องเรียนเอง เพราะคณะกรรมการจะพิจารณาโทษได้ง่ายขึ้น อาจจะมีการพิจารณาไล่ออกจากราชการไว้ก่อนเลยก็ได้ เพราะถือว่าเป็นอุปสรรคในการไต่สวน
ส่วนกรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำงานสองมาตรฐานระหว่าง พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ นั้น พล.ต.ท.เรวัช ชี้แจงว่า เป็นการทำงานคนละส่วน กรณีของ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงและให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งถือเป็นการลงโทษกันเอง
ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่มาร้องคณะกรรมการชุดของตัวเองนั้น เป็นระบบไต่สวนที่มีกระบวนการ ซึ่งคณะกรรมมีมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะรับพิจารณาไต่สวน โดยต้องตั้งผู้ช่วยไต่สวน ซึ่งต้องส่งหนังสือทางผู้ถูกร้องเรียนด้วยว่าจะคัดค้านผู้ช่วยไต่สวนคนนี้ว่าเป็นอริหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกันหรือไม่ โดยใช้ระยะเวลากรอบ 30 วัน ทำให้ล่าช้ากว่าจะได้ผู้ช่วยไต่สวน ยืนยันว่า หลังจากนี้จะเร่งการพิจารณาให้เร็วที่สุด แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ทันเดือนกันยายนนี้
"ตั้งใจจะเร่งทำสำนวนให้เสร็จภายในเดือนกันยายน แต่คงไม่ทัน เนื่องจากพยานหลักฐานที่ยื่นมาค่อนข้างเยอะ และจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน แต่หากไม่มาอาจจะถูกคณะกรรมการพิจารณา ให้ออกจากราชการได้เลย เพราะถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน หรืออาจส่งเรื่องไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา โดยผู้ถูกร้องสามารถ ไปยื่นเรื่องที่ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) สำหรับคณะตนเหมือน ปปช.ตำรวจ แต่คณะ ก.พ.ค.ตร.เหมือนศาลชั้นต้นตำรวจ ในการเชิญมาก็เพื่อให้มาโต้แย้งว่า เงินดังกล่าว เป็นค่าอะไร แล้วเชื่อถือได้หรือไม่" พล.ต.ท.เรวัช กล่าว