26 มีนาคม 2567 เวลา 11.00 น. ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" จัดการแถลงข่าว "เปิดโปงขบวนการส่วยตัวท็อปแบบม้วนเดียวจบ" ตามที่นัดหมายไว้จากการโพสต์เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า
พรุ่งนี้ 11.00 น. ขอเชิญพี่ๆนักข่าวที่ Sittra Law Firm นะครับ ไปต่อให้สุด กับการเปิดโปงขบวนการส่วยตัวท็อปแบบม้วนเดียวจบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม? มารอดูกัน ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อชาติ!!
ทั้งนี้ภาพประกอบโพสต์ เป็นภาพการ์ตูนรูปตำรวจ พร้อมระบุชื่อ นามสกุล และชั้นยศอย่างชัดเจน โดยมีชื่อย่อ ระบุไว้ว่า
เปิดตัวละคร 3 คน โยงส่วยตำรวจ 3 หน่วยงาน
ทนายตั้ม เปิดฉากด้วย 3 ตำรวจ ได้แก่ ดาบยาว รองฟาง และ บิ๊กต่อ พร้อมทั้งพาดพิงไปถึง 3 หน่วยงานของตำรวจ ได้แก่ กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ หรือ คอมมานโด, กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) และ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ที่มีผลประโยชน์มหาศาล
"เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากไปคุมตำรวจไซเบอร์ครับ เหตุผลนะเหรอ มันมีผลประโยชน์มหาศาน ลองคิดดูสิครับเว็บพนันมีเป็นหมื่นเว็บ แต่จับได้เพียงเล็กน้อย มันเกิดอะไรขึ้น"
ใครต้องจ่ายส่วยบ้าง?
ทนายตั้ม เปิดข้อมูลด้วยว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเก็บส่วย เก็บผลประโยชน์จากทั้ง 3 หน่วยงาน หรือจะเรียกกันว่า "ตั๋ว" ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการเก็บส่วย หรือ ขายตั๋ว จาก 3 หน่วยงาน มีสิ่งผิดกฎหมาย 18 กลุ่ม ดังนี้
เปิดข้อมูลเก็บส่วย ขายตั๋วเปิดทางทำผิด
สำหรับรูปแบบการขายตั๋ว แบ่งเป็นภาค ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ สำหรับ ทีมภาคตะวันออก (ตำรวจภาค 2 นครบาล 1,4, ปทุมธานี) ทำรายได้มากที่สุด โดยหัวหน้าชุดทุกทีมเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศดาบ จ่า ทำหน้าที่พ่อบ้านคอยเก็บค่าตั๋ว มียอดการจัดเก็บเดือนละหลักร้อยล้านบาท ส่งยอดให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุกวันที่ 25 ของเดือน โดยไปส่งยอดกันที่ตึก บช.สอท. ที่โต๊ะของ "รองฟาง"
ทนายตั้มยังได้ เปิดเส้นทางการเงิน บัญชีม้าของ "รองฟาง" ซึ่งถือบัญชีม้าชื่อว่า "คชาชาญ" รวมไปถึง "ดาบยาว" ซึ่งถือบัญชีม้าชื่อว่า "ณัฐพงศ์" และยังมีบัญชีม้าอีก 2 อัน ที่เจ้าของบัญชีเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังมีคนสามารถทำธุรกรรมได้
จากนั้นได้เปิดพฤติกรรมของ "ทีมพ่อบ้าน" ในการเก็บค่าตั๋ว หรือ เก็บส่วย รวมทั้งหลักฐานการโอนเงิน แชทไลน์ ภาพจากกล้องวงจรปปิดขณะไปกดเงิน หรือโอนเงินไปให้บุคคคลที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ รวมทั้งหลักฐานการไปดื่มกินและนำบิลมาเบิกอีกด้วย
เปิดเส้นทางโยงบุคคล นามสกุลเดียวกับ "บิ๊กต่อ"
ทนายตั้ม เปิดฉากการเชื่อมโยงข้อมูลจากกลุ่มพ่อบ้านเก็บส่วย ระบุว่า เรื่องนี้เริ่มจากธันวาคม 2566 ตำรวจมีการจับเว็บกุมพนัน BNK Master และ Venus Master และมีตัวละครสำคัญอย่าง "พิมพ์วิไล" ถูกดำเนินคดี
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน "พิมพ์วิไล" พบมีการโอนเงินไปบัญชีม้าชื่อ "คชาชาญ" ซึ่งเป็นบัญชีที่ "รองฟาง" ถืออยู่ จากนั้นเส้นเงินจากบัญชีม้า ได้ถูกโอนไปที่ตำรวจ 5 คน และ โอนให้บัญชีของ "ณัฐพงศ์" ซึ่งเป็นบัญชีม้า ที่ดาบยาวถืออยู่ จากเส้นเงินของณัฐพงศ์ บัญชีม้าที่ดาบยาว ถืออยู่ ถูกโอนไปที่ ลูกสาว เมีย และคนสนิทของดาบยาว
ไม่เพียงเท่านั้น บัญชีม้านี้ ยังโอนเงินไปให้อีก 3 คน ที่นามสกุลเดียวกับ "บิ๊กต่อ" รวมไปถึงผู้สื่อข่าว สมาคมนักข่าวฯ และตำรวจอีก 3 นาย
ทนายตั้ม ยังได้บอกอีกด้วยว่า บัญชีม้า "คชาชาญ" ยังโอนไปทำบุญสร้างวิหารวัดนครอินทร์ 7 แสนบาท โดยได้เปิดภาพประธานในพิธี คือ ผบ.ตร. และตั้งคำถามว่า ทำไมบัญชีม้าเว็บพนันจึงโอนไปทำบุญกฐินได้
ข้อมูลสอดคล้องเส้นเงินที่ "ทนายบิ๊กโจ๊ก" แถลง
เมื่อพิจารณาเส้นทางการเงินที่ "ทนายตั้ม แฉ พบว่า เป็นข้อมูลเดียวกับที่ "ทนายของบิ๊กโจ๊ก" แถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมาอย่างชัดเจน โดยในการแถลงข่าวครั้งนั้น ว่า การออกหมายจับเส้นทางการเงินของ "พิมพ์วิไล" ผู้บริหารเว็บพนัน BNK Master ดำเนินการเฉพาะบางคนเท่านั้น โดยได้เปิดเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับตำรวจมากถึง 34 เส้นทาง ตั้งแต่ยศดาบตำรวจ ไปจนถึง "พล.ต.ต." ซึ่งเป็นบัญชีเดียวกันกับที่พนักงานสอบสวนพยายามโดยถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
ในวันนั้น ทีมทนาย มีการเปิดเส้นทางการเงินเกี่ยวพันกับตำรวจ 34 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
สำหรับ กลุ่มแรกนั้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 3 และ 4 เป็นกลุ่มที่ ทนายตั้ม เปิดเส้นทางการเงินในการแถลงวันนี้ (26 มี.ค.) ได้แก่
ทีมทนายบิ๊กโจ๊ก ได้แถลงในวันนั้น ว่า เส้นทางการเงินทั้ง 34 รายนี้ พนักงานสอบสวนมีข้อมูลอย่างดี ซึ่ง "พิมพ์พิไล" เจ้าของบัญชี ได้มีการร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.คอหงส์ จ.สงขลา ว่ามีการเรียกรับเงิน คดีอยู่ในสำนวนของตำรวจชุดคดีมินนี่หมดแล้ว ดังนั้นการเจาะจงหรือจงใจเอาแค่บางคน เอาผิดบางส่วน มองว่าตั้งใจจะมีการให้ออกหมายจับและแจ้งข้อหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ได้ ทำในลักษณะ "อินทรีย์เลือกเหยื่อ"
"ทนายตั้ม" เตรียมส่งข้อมูลถึง "บิ๊กเต่า" ดำเนินคดี
ในระหว่างการแถลงข่าว "ทนายตั้ม" ได้ขอให้ผู้สื่อข่าว ต่อสายหา "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ซึ่งมีหน้าที่เป็นโฆษกคณะทำงานคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ และ BNK Master เพื่อขอนักหมายในการส่งหลักฐานเส้นทางการเงินทั้งหมดให้ไปดำเนินคดี
ในเบื้องต้น "บิ๊กเต่า" แจ้งว่าในวันนี้ไม่ว่าง ทนายตั้ม ได้แจ้งว่าขอวันที่สะดวก ซึ่งสุดท้ายนัดหมายกันได้ในวันที่ 28 มี.ค.นี้
ทนายตั้ม ยืนยันไม่ได้รับงานแฉจาก "บิ๊กโจ๊ก"
ทนายตั้ม บอกถึงสามเหตุการออมาแฉครั้งนี้ ว่า ตนได้ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งจากสายข่าวส่วนตัวและตำรวจบางคนที่ทนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยืนยันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ก่อนการแถลงข่าวบิ๊กโจ๊กยังโทรมาบอกว่า อย่าเปิดข้อมูล เพราะถ้าเปิดเขาจะไม่ได้กลับ สตช. (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
“ลองมองลึกลงไป ผมเปิดข้อมูลไป เขาจะเอาอะไรไปต่อรอง ก็แล้วแต่คนจะคิด จะเชื่อแบบไหน ไม่มีใครว่าจ้างให้ทำงานเสี่ยงแบบนี้ วันนี้ออกมาผมยอมเจ็บ ปรึกษากับครอบครัวแล้ว ภรรยาเขาเสียสละ หากทำให้สังคมดีขึ้น ผมถึงได้ออกมาพูดกับประชาชนแบบนี้ ไม่ได้มาเอาแสง เอาซีนอะไรหรอก เดี๋ยวเขาก็มาขุดแผลผมอีก ผมก็ยอมรับว่าเป็นคนมีแผล โดนทุกรอบ รอบนี้ไหนๆ จะโดนแล้วก็ขอให้เกิดประโยชน์กับสังคม” ทนายตั้ม ระบุ
แม้ว่า.. การออกมาแฉในครั้งนี้ของ "ทนายตั้ม" จะบอกว่า ทำเพื่อชาติ เพื่อสังคม สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ "บิ๊กต่อ" กับ "บิ๊กโจ๊ก" ล้วนได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้นกับคดีเว็บพนันออนไลน์ แต่ในมุมอาการบาดเจ็บ "บิ๊กต่อ" ดูจะอาการหนักอยู่ไม่น้อย ขณะที่ "บิ๊กเต่า" ก็คงอยู่ในอาการ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก"
"ศึกสีกากี" คงไม่จบลงง่ายๆ เป็นมหากาพย์ที่ต้องติดตามกันยาวๆว่า สุดท้ายแล้วจะเกิดประโยชน์กับประชาชนได้จริงๆหรือไม่ ?!??