svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

คุก "เพนกวิน-อั๋ว" คนละ 2 เดือนแต่รอลงอาญา 2 ปี พร้อมปรับฐานผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

05 กุมภาพันธ์ 2567
เกาะติดข่าวสาร >> NationTV
logoline

"ศาลอุทธรณ์" พิพากษายืน "เพนกวิน-อั๋ว" คุกคนละ 2 เดือน ปรับ 1 -1.2 หมื่นบาท ฐานผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-ไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ปมจัดกิจกรรมหน้าหอศิลป์ฯ ปี 63 แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

5 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลแขวงปทุมวัน ถ.นครไชยศรี ได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ 653/2566 ที่พนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง "นายพริษฐ์ ชิวารักษ์" หรือ "เพนกวิน" จำเลยที่ 1 และ "น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์" หรือ "อั๋ว" จำเลยที่ 2 ในความผิดต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีจากการจัดกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ทวงความเป็นธรรมให้กับการบังคับสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 63

โดยศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9(2) และ มาตรา 18 ประกอบมาตราประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่งปรับ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือนและปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี 

ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 2 ขออุทธรณ์ แต่ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลย ว่าจำเลยทั้ง 2 ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีพระเข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกันหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่

ซึ่งจำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ในทำนองว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ ว่าจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ลงข้อความในเฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย จำเลยทั้ง 2 ปรากฏตัว ณ สถานที่นัดหมายเนื่องจากพบเห็นข้อความทางเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าโจทก์มีตำรวจเป็นพยานยืนยัน ว่าพบจำเลยทั้ง 2 นำภาพผู้ลี้ภัยวางไว้ที่บริเวณผู้ชุมนุม จำเลยทั้ง 2 พูดปราศรัยห่างจากผู้ชุมนุมประมาณ 1 เมตร ผู้ชุมนุมยืนติดกันไม่เว้นระยะห่าง ไม่มีจุดคัดกรอง ไม่มีเจลแอลกอฮอล์ จำเลยทั้ง 2 กล่าวปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ พฤติกรรมของจำเลยทั้ง 2 บ่งชี้ว่า มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมชุมนุม โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ย่อมมีน้ำหนักรับฟังมั่นคง ว่าจำเลยทั้ง 2 รู้เห็น และมีส่วนร่วมกับการจัดกิจกรรมชุมนุมดังกล่าว

ที่จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ว่าจำเลยทั้ง 2 ปรากฏตัว เนื่องจากเพราะเป็นข้อความที่ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงได้การที่จำเลยทั้ง 2 นำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางบริเวณผู้ชุมนุมและปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย อันเป็นปกติวิสัยของบุคคลที่เห็นข้อความเชิญชวน แต่รายงานสืบสวนเอกสารในตอนท้ายที่ระบุว่า "โปรดเตรียมดอกไม้เพื่อร่วมทวงความเป็นธรรมให้ผู้หนีภัยทางการเมือง" ซึ่งปกติวิสัยของบุคคลทั่วไปเห็นข้อความดังกล่าว และประสงค์จะเข้าร่วมก็เพียงแต่นำดอกไม้มาเท่านั้น ไม่มีเหตุให้นำภาพของคนลี้ภัยทางการเมืองมาชุมนุมและขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย

การที่จำเลยทั้ง 2 นำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางและกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย จึงไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่เห็นข้อความเชิญชวนการกระทำเช่นนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้ลงข้อความเฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว เป็นข้ออุทธรณ์ที่ไม่ได้ทำให้พยานหลักฐานโจทก์ที่เเสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 2 รู้เห็นมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมวันเกิดเหตุ อุทธรณ์จำเลยทั้ง 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น 

นอกจากนี้ ปัญหาวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ว่ามีมีความผิดฐานไม่ผิดตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 หรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ว่าพนักงานสอบสวนมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่ใช่เพื่อการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 (1) การที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว จึงไม่มีความผิดนั้น

เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 ให้อำนาจพนักงานสอบสวนตรวจผู้เสียหาย เมื่อผู้นั้นยินยอมหรือตรวจตัวผู้ต้องหา ตรวจสิ่งของ หรือทางที่อันจะสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ข้อเท็จจริง จากพยานเบิกความว่าพยานได้จัดให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจว่าจะมีการเพิ่มโทษหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยินยอม โดยพยานเบิกความตอบทนายจำเลยทั้ง 2 ค้านว่าการขอตรวจลายนิ้วมือจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปตรวจหาประวัติอาชญากร บ่งชี้ชัดว่าพนักงานสอบสวนสั่งจำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อจะได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษมาก่อนอันเป็นเหตุให้เพิ่มโทษตามกฎหมายหรือไม่

ทั้งนี้ คำสั่งของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือ โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น 

logoline