2 มิถุนายน 2566 ความคืบหน้ากรณี เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ ดส. นำกำลังเข้าตรวจค้น ไดมอนด์ เคทีวี ผับ ภายใน "เมรี อาบอบนวด" ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ พบนักเที่ยวชาวจีน จำนวน 48 คน เป็นหญิง 18 คน ชาย 30 คน เปิดห้องคาราโอเกะ 4 ปาร์ตี้มั่วสุมเสพยาเสพติด เปิดให้บริการยันเช้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ขณะที่ช่วงบ่าย พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เข้าตรวจสอบรถของนักท่องเที่ยว ที่นำมาจอดไว้ที่ลานจอดรถ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถหรูและรถแวน ที่เจ้าหน้าที่ยึดไว้ตรวจสอบทั้งสิ้น 6 คัน พบยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ภายในรถ
ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว โดยก่อนที่จะแถลง ได้นำโคมไฟสีแดง หรือ “เต็งลั้ง” 1 คู่ เข้ามาด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคนจีนที่นิยมติดไว้หน้าห้างร้าน โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่า สถานบันเทิงแห่งนี้ ต้องมีการ จ่ายส่วย ให้กับตำรวจ เพื่อเปิดให้บริการ เนื่องจากที่นี่เป็นสถานบริการอาบ อบ นวดเก่า และเปิดริมถนนเพชรบุรี ถือว่าเป็นสถานที่โจ่งแจ้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเคลียร์กับเจ้าหน้าที่
ส่วนเจ้าของสถานบันเทิงนี้คือ “อาจ๋าย” ที่ได้ติดต่อผ่าน “ชายเล็ก” คนนี้เป็นที่รู้จักของ ตำรวจ สน.มักกะสัน เป็นอย่างดี และในพื้นที่อื่น ๆ เนื่องจาก “ชายเล็ก” เป็นนายหน้าจัดหาหญิงบริการ มาให้กับสถานบริการหลายแห่ง ในกรุงเทพมหานคร และเป็นคนชักชวนให้ “อาจ๋าย” เข้ามาลงทุนเปิดสถานบันเทิง
ส่วนพนักงานภายในร้าน ก็จะใช้ผู้หญิงชาวจีน และประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาทำงาน นอกจากนั้นยังพบว่ามี “บังมัด” ผู้กว้างขวางในย่านคลองตัน เป็นคนออกหน้าเพื่อเคลียร์กับตำรวจในพื้นที่คือ “รอง ห.” ซึ่งเป็นตำรวจตำแหน่งรองผู้กำกับการในพื้นที่
สำหรับการเข้าจับสถานบันเทิง “ไดมอนด์ เคทีวี” ครั้งนี้ เชื่อว่า เป็นความขัดแย้งของหน่วยงานรัฐกับรัฐ หรือเป็นระหว่างหน่วยงานรัฐกับเจ้าของสถานบันเทิง โดยมี “รอง ห.” เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่จะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งกับ ตำรวจ ดส. หรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่ก็เห็นว่า ตำรวจ ดส. ทำหน้าที่คล้ายพ่อบ้าน ให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ส่วนสถานบันเทิง “ไดมอนด์ เคทีวี” พบว่า รูปแบบการประกอบกิจการเป็นรูปแบบเดียวกับ “จินหลิงผับ” ซึ่งมีเครือข่ายคนจีนเทากว่า 10 คน มาร่วมลงทุนให้ “อาจ๋าย” ในวงเงินรวมประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งมีทุนน้อยกว่า “ตู้ห่าว”
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ยังเปิดโอกาสให้กลุ่ม จีนเทา เข้ามาในไทยมากขึ้น ทำให้คนจีนเทา มาทำธุรกิจสีเทา ใน กทม. และพัทยา มากขึ้น หนำซ้ำประเทศไทย กำลังจะเป็นศูนย์กลางของคนจีนหมายจับแดง เพราะเข้ามาในไทยได้ง่าย ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และวีซ่าพิเศษ ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ มีคนจีนมาอยู่แล้วกว่า 3 ล้านคน แต่ไม่มีระบบตรวจสอบหมายจับของจีน ทำให้คนจีนเลือกมาอยู่ประเทศไทยจำนวนมาก
ส่วนภายในสัปดาห์นี้ นายชูวิทย์ ยังได้ข้อมูลมาอีกว่า กำลังจะมีการเปิดสถานบันเทิงของทุน จีนสีเทา ในพื้นที่ สน.สุทธิสาร ขึ้นอีก เป็นอดีตสถานบริการ ที่เคยปิดตัวไป ขณะนี้กำลังปรับปรุง และตกแต่งให้คล้ายกับสถานบันเทิงที่ถูกจับได้ ซึ่งตามกำหนดแล้ว จะเปิดวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา และยังอยู่ระหว่าง จ่ายส่วย ให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน มีตั้งแต่ระดับสถานีตำรวจท้องที่ กองบังคับการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งหน่วยงานกลาง ทั้งกองปราบปราม ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตำรวจ ดส. และ 191
นายชูวิทย์ กล่าวว่า สำหรับการปราบปรามกลุ่มจีนเทา ของเจ้าหน้าที่เห็นว่า ยังไม่จริงจัง ไม่ได้ถอดบทเรียนจากการจับ “จินหลิงผับ” เพราะหลังจากนั้น ก็มีสถานบันเทิงที่ให้บริการเหมือนกัน เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ และหลังจากนี้ก็เชื่อว่า จะมีเกิดขึ้นอีก โดยเตรียมข้อมูลเหล่านี้ ให้พรรคก้าวไกล ซึ่งระหว่างการแถลงข่าว ได้โทรศัพท์ติดกับ นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เพื่อเตรียมส่งข้อมูลให้ปราบปรามหากได้เป็นรัฐบาลในอนาคต