11 ธันวาคม 2567 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ "บอสพอล" ดิไอคอน กรุ๊ป เดินทางเข้าเยี่ยม "บอสพอล" และ "บอสดิไอคอนกรุ๊ป" ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพ พร้อมให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่เข้าเยี่ยมเสร็จสิ้น
โดย ทนายวิฑูรย์ ระบุว่า วันนี้เป็นหารือกับบอสดิไอคอนกรุ๊ป ในเนื้อหาคดี พอจะเข้าผัด 6 ของการฝากขังของพนักงานสอบสวนแล้วจึงต้องหารือกันว่า จะคัดค้านการฝากขังกันดีหรือไม่ และประเด็นเรื่องคำให้การชั้นสอบสวนว่าใครจะต้องให้การเพิ่มเติมบ้าง เพราะที่ผ่านมา บอสพอลให้การละเอียดในชั้นตำรวจเพียงคนเดียว ส่วนบอสคนอื่นๆบางคนยังให้การบางคนก็ยังไม่ได้ให้การ
และวันนี้ก็ได้เข้าไปอัพเดรตบอสพอล เรื่องที่แอดมินเอาจดหมายจากเรือนจำของบอสพอล ไปลงในเพจส่วนตัวของบอสพอลว่า ได้รับการตอบรับอย่างไรบ้าง มีทั้งดีและไม่ดี และสารที่ตัวบอสพอลเขียนก็เป็นสิ่งที่บอสพอลคุยกับตนเอง แล้วตนเองก็จดออกมาทุกประโยค แล้วเรียบเรียง ส่งให้แอดมินลงเพจ
ซึ่งเลือกที่จะลงเมื่อวานนี้เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญ เลยใช้สิทธิวันรัฐธรรมนูญในการโพสต์ลง หลังจากบอสชายไม่ได้ยื่นประกันตัว มีเพียงบอสวินและบอสดารา ที่ยื่นประกัน แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวด้วยเหตุผลเดียวกันซึ่งเป็นเหตุผลที่รุนแรง
ซึ่งเหตุผลที่เขียนจดหมายออกมาก็เพื่อต้องการสื่อสารว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องนี้อย่างไร เพราะไม่ได้รับการประกันตัว และการฝากขังจนถึงปัจจุบันผัดที่5 ก็ไม่ได้รับการประกันตัว จึงต้องการระบายความรู้สึกของการไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา ซึ่งการสู่คดีอาญาที่ต้องใช้เอกสารค่อนข้างมากและเป็นเรื่องทางการเงิน เป็นไปได้ยากในการสู้คดีหากไม่ได้รับการประกันตัว
กระบวนการยุติธรรม มีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทุกคนมีสิทธิต่อสู้คดีเป็นสิทธิตามกฎหมายขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้ แต่สิทธิของคดีนี้ไม่มี ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกดดันศาล และผมไม่ได้ขออะไรไปมากกว่าสิทธิขั้นพื้นฐาน
ส่วนกรณีที่ ข้อความในจดหมายที่ระบุว่า "คดีนี้ไม่มีผู้เสียหายเลยแม้แต่คนเดียว" ทำไมบอสพอลถึงมั่นใจว่าไม่มีผู้เสียหาย ทนายวิฑูรย์ ชี้แจงว่า เท่าที่พูดคุย ผู้เสียหายต้องแบ่งเป็นผู้เสียตามประมวมกฎหมายพิจารณาความอาญา กับผู้เสียหายจากกากรกระทำความผิดทางอาญา แต่เท่าที่ตนเองได้ข้อมูล
บุคคลที่อ้างเป็นผู้เสียหายคือคนที่ซื้อสินค้าไปแล้วได้รับสินค้าแล้วแต่ขายไม่ได้ ไม่ประสบสำเร็จในการขาย แต่เหตุผลที่ไม่ประสบความสำเร็จในการขาย เขาไม่ได้ประเมินศักยภาพการขายของตัวเอง เพราะคนบางคนขายได้เยอะ บางคนอาจจะขายไม่ได้เลย พอลงทุนไปแล้วจม พอจมไม่โทษตัวเองแต่หาคนรับผิดชอบ
ส่วนในหมื่นกว่าคนยืนยันได้เลยหรือไม่นั้นว่า ไม่มีใครเป็นผู้เสียหายจริงนั้น ทนายวิฑูรย์ บอกว่า คนที่อ้างเป็นผู้เสียหาย 70% เป็นคนที่เปิดบิล2500 ได้ของไปกินใช้ขายรายย่อยไปแล้ว แล้วจะเป็นผู้เสียหายได้อย่างไร อีกกลุ่ม 25,000 อีกกลุ่ม 250,000 ก็ได้รับสินค้าไปหมดแล้ว
หากบอกไม่ได้รับสินค้าก็มาตรวจสอบได้ในคลังสินค้า แต่ก็มีบางคนที่สั่งซื้อสินค้ากับแม่ทีมแล้วอาจจะไม่ได้รับสินค้า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของแม่ทีมไม่ได้เกี่ยวกับบริษัท ทั้งนี้หากใครมีข้อมูลว่าซื้อสินค้าไปแล้วแม่ทีมคนไหนไม่ส่งสินค้าให้ ก็มาแจ้งที่บริษัทได้จะพาไปดำเนินคดีให้ด้วย
สำหรับจดหมายฉบับต่อไปที่จะมีการเผยแพร่ ซึ่งเป็นฉบับที่ 3 อยู่ในระหว่างการเรียบเรียงเนื้อหา โดยจะสื่อสารเพื่ออธิบายกับสังคม ให้เข้าใจว่า คดีนี้ ถึงไม่มีผู้เสียหาย ซึ่งมีจดหมายมากกว่า 5-6 ฉบับ โดยไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ฉบับที่5 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีการเผยแพร่ให้ครบภายในปีนี้
ทนายวิฑูรย์ ยังบอกถึงสภาพจิตใจของบอสพอลด้วยว่า ช่วงหลังๆพอติดคุกนานสภาพจิตใจก็เริ่มเครียด และตนเองก็มาเยี่ยมบ่อย จากความสัมพันธ์ทนายลูกความ จนกลายเป็นพี่เป็นน้องกัน และกลายเป็นความน่าเวทนามาก เพราะคนคนหนึ่งถูกเอาขังไว้ การต่อสู้คดีก็ลำบากมาก และคดีนี้สู้ด้วยเอกสาร เอกสารแค่แผ่นเดรยวก็ไม่สามารถชี้ให้เห็นได้ว่าใช้อะไรบ้าง และก็มองง่า ผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี
ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นทนาย มองว่า ผู้ต้องหาทุกคนมีความหวังว่าจะชนะคดี แต่การขังแล้วไม่รู้จะเสร็จสิ้นเมื่อไร ซึ่งจะทำให้กำลังใจถดถ้อย ส่วนหวังว่าจะได้รับการประกันตัวหรือไม่นั้น ทนายวิฑูรย์ บอกว่า ก็จะต้องยื่นประกัน ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน และจะดูจังหวะเวลา เมื่อพนักวานสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการ การจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานก็ไม่มีแล้ว
ส่วนดีเอสไอจะสรุปคดีทันหรือไม่ ตนเองไม่แน่ใจ เพราะตนเองได้ขอพฤติการณ์ทางคดี แต่ดีเอสไอไม่ให้เลยไม่รู้จะไปต่อสู้คดีอย่างไร แต่ก็มั่นใจว่า พนักงานสอบสวน จะทำสำนวนเสร็จทัน 84 วัน(7ฝาก)เพื่อทันส่งอัยการอย่างแน่นอน ส่วนประเด็นเรื่องนำพยานไปให้ทางดีเอสไอสอบปากคำ 2000 กว่าปาก และมีการคัดเลือก 30 ปาก สอบเสร็จสิ้นแล้ว
ซึ่งทั้ง 30 คน ก็ให้การลักษณะการขายของ ว่ามีการเปิดบิลซื้อสินค้ามาขายและขายได้ขายให้ใครบ้าง สอดคล้องกันทั้งหมด มีการยื่นเอกสารการซื้อสินค้า และจำหน่ายสินค้าได้จริง ได้ไปต่างประเทศจริง ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่พอใจ แต่ก็เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
ส่วนจะมีการนำเงินไปชดใช้ผู้เสียหายได้หรือไม่นั้น ทนายวิฑูรย์ระบุว่า ต้องดูว่าผู้เสียหายมีการใช้อำนาจทางแพ่งมาเรียกร้องความเสียหายกับทางบริษัทหรือไม่ เพราะมองว่าสามารถเจรจากันได้ แต่ต้องชี้แจงว่าขณะนี้บริษัทไม่มีเงินหมุนเวียนเนื่องจากบัญชีถูกอายัด และทำให้พนักงานบางส่วนจ้างออกออกไปบางส่วนแล้ว
เปิดจดหมาย "บอสพอล" จากเรือนจำฉบับที่ 2
เพจเฟสบุ๊ก "วรัตน์พล วรัทย์วรกุล" ได้มีการเผยแพร่ภาพจดหมาย "บอสพอล" จากเรือนจำฉบับที่ 2 ในวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่าน จดหมายดังกล่าวถูกโพสต์โดยแอดมิน มีเนื้อหาว่า
ผมอยู่ในเรือนจำมาจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว การใช้ชีวิตในเรือนจำ “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” สำหรับคนที่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวเองแบบผม ผมเฝ้าถามตัวเองทุก ๆ วันว่า “ผมผิดอะไร” .. “ผมทำอะไรผิด” ถึงต้องเข้ามาอยู่ในนี้ อยู่แบบ “ไร้อิสรภาพ” และยังคงรอได้รับการประกันตัวออกไปเพื่อพิสูจน์ให้สังคมได้รับรู้ “ความจริง” จากปากของผมเอง ซึ่งเป็นคนที่ยังคงเชื่อในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
วันนี้ผมต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า ผมกำลังสู้กับอะไรกันแน่ ? ผมต้องสู้อยู่ในนี้ในที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยไม่รู้ข่าวสาร ต้องเฝ้าถามและรอคอย คำตอบจากคำบอกเล่าของทนายที่เข้ามาเยี่ยมได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวัน ผมบอกเล่าข้อเท็จจริง ฝากทนายความอ๋องเพื่อไปสู่โลกภายนอก โดยการสื่อสารผ่านไปหลายทอด ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีทางที่จะได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน มันไม่มีทางที่จะเหมือนคำพูดของผมที่ถ่ายทอดเองโดยตรงออกมาจากใจแน่ ๆ ผมกังวลในทุก ๆ ครั้งที่ต้องสื่อสารอะไรก็ตาม ผ่านการใช้ปากของคนอื่น
แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงผมก็ต้องสู้ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ปากกาซักด้าม กระดาษซักแผ่น มันคือของที่หาได้ยาก เพื่อให้เขียนลำดับเหตุการณ์ แล้วนำไปบอกเล่าให้ทนายความได้เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่ถูกจำกัดอิสรภาพแล้วต้องลุกขึ้นมาสู้ เพื่อทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง มันคือการถูกบีบบังคับให้สู้ในขณะที่เสมือนถูกมัดมือ มัดเท้า และปิดหู ปิดตา แล้วบอกว่า “สู้สิ” นี่แหละ ความยุติธรรมที่ผมกำลังเผชิญ
การสู้อยู่ในคุกมันยากเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการออกได้ แค่การหาพื้นที่ว่าง สำหรับการหย่อนก้นเพื่อนั่งลงให้พ้นจากผู้คน ผู้ต้องขัง หรือนักโทษจำนวนมากที่แออัดกันอยู่ในนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว การจะหาที่เงียบ ๆ เพื่อเขียนอธิบายสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะได้เห็นข้อความนี้ปรากฏอยู่บน Facebook ของผมแล้ว ผมได้พยายามอย่างที่สุดแล้วจริง ๆ ในการกลั่นข้อความบอกผ่านทนายทีละตัวอักษร เพื่อสื่อสารออกมาหาทุก ๆ คน ขอให้ทุก ๆ คนตั้งใจอ่านสิ่งที่ผมจะบอกต่อจากนี้ให้ดี ๆ นะครับ
ความจริงคือ “คดีนี้ไม่มีผู้เสียหายเลยแม้แต่คนเดียว” คำถามที่คุณต้องถามเพื่อค้นหาความจริงด้วยตัวคุณเอง มีใครสักคนไหมที่ซื้อสินค้าจากบริษัทแล้วไม่ได้สินค้า มีใครสักคนไหมที่ขายของมีกำไรในระบบแล้วบริษัทไม่จ่ายเงินให้ มีใครสักคนไหมที่ได้โปรโมชั่นทริปท่องเที่ยวแล้วบริษัทไม่พาไปเที่ยว แล้วคุณจะพบความจริงที่ว่า “ไม่มีเลยสักคน”
ตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่บริษัทดำเนินธุรกิจมา และไม่มีปรากฏในคำกล่าวหาของตำรวจในคดีนี้ด้วยครับ นั่นคือความจริงที่สรุปได้ว่า ซื้อสินค้าก็ได้สินค้า ทำงานก็ได้เงินและได้ผลตอบแทนอื่น ๆ ตามที่บริษัทสัญญาไว้ แต่ก็ยังถูกกล่าวหาว่า “ผมฉ้อโกงประชาชน” อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณสงสัยมั้ยครับว่าแล้วทำไมถึงมีคนออกมาแจ้งความเป็น 10,000 คน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังในจดหมายฉบับต่อไป
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟสบุ๊ก "วรัตน์พล วรัทย์วรกุล"