svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าว

"ยูเนสโก" ประกาศขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

"ต้มยำกุ้ง" อาหารแห่งชาติ "ยูเนสโก" ประกาศขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อย่างเป็นทางการแล้ว (ชมคลิป)

4 ธันวาคม 2567  ชวนคุณผู้อ่านไปติดตามเรื่องน่ายินดีของคนไทยกันสักหน่อย โดยเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา  ที่นครอซุนซิออน  สาธารณรัฐปารากวัย ตรงกับ วันที่ 4 ธ.ค. 2567 ตามเวลาประเทศไทย"ยูเนสโก"ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้อย่างเป็นทางการแล้ว 

\"ยูเนสโก\" ประกาศขึ้นทะเบียน \"ต้มยำกุ้ง\" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้มีการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19  โดยเริ่มประกาศผลในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ระหว่างเวลา 14.50 - 16.30 น. (เวลาท้องถิ่น) ณ นครอซุนซิออน  สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ระหว่างเวลา 00.50 – 02.30 น. (เวลาประเทศไทย) โดยคณะกรรมการได้ให้แต่ละประเทศนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง

จนมาถึงช่วงเวลาสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศไทยรอคอย เวลาประมาณ 02.15 น. (ตามเวลาประเทศไทย)  ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" เป็นรายการตัวแทน"มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้"ของมนุษยชาติ

ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

โดยตัวแทนประเทศไทยได้เชิญชวนให้รับชมวีดิทัศน์ของ "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวแสดงความยินดีและพูดถึง"ต้มยำกุ้ง"ไม่ว่าจะด้านคุณค่าและความสำคัญ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย"ต้มยำกุ้ง" เป็นอาหารที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรม ริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทยที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารผ่านการสังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติ

โดยนำกุ้งที่มีมากมายในท้องถิ่นมาต้มในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรทั้งข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก และมะนาว ซึ่งนิยมปลูกไว้กินเองในครอบครัว ต้มยำกุ้งจึงสะท้อนถึงความเรียบง่ายและวิถีชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ พึ่งพาตนเองและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ รสชาติถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

ชมคลิป >>> บรรยากาศ "ยูเนสโก"ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง

คลิป 2 >>> นายกฯนำเสนอ "ต้มยำกุ้ง" ต่อยูเนสโก 

\"ยูเนสโก\" ประกาศขึ้นทะเบียน \"ต้มยำกุ้ง\" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

ที่ผ่านมาประเทศไทย มีรายการ"มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม"ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากยูเนสโกมาแล้ว 4 รายการ คือ  โขน/ นวดไทย/ โนราห์ และ ประเพณีสงกรานต์ โดย "ต้มยำกุ้ง" ถือเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรอง

 

\"ยูเนสโก\" ประกาศขึ้นทะเบียน \"ต้มยำกุ้ง\" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

นอกจากนั้นในวันนี้ (4ธันวาคม 2567) ระหว่างเวลา 09.30 - 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ระหว่างเวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ยังมีประกาศ "ขึ้นทะเบียนชุดเคบาย่า" เป็นรายการที่เสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย  ซึ่งในวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคมนี้ ทางกระทรวงวัฒนธรรมก็จะจัดงานฉลอง"ต้มยำกุ้ง"และ"เคบายา"ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ด้วย

\"ยูเนสโก\" ประกาศขึ้นทะเบียน \"ต้มยำกุ้ง\" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

สำหรับการเสนอ "ต้มยำกุ้ง"ขึ้นทะเบียนมรดกฯ กับยูเนสโก นี้ คณะรัฐมนตรี  มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 เห็นชอบให้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เสนอขอขึ้นทะเบียน "ต้มยำกุ้ง" (Tomyum Kung) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 ของยูเนสโก

แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี

หลังจากที่ "ต้มยำกุ้ง" ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทอาหารและโภชนาการ ด้วย ต้มยำกุ้ง เป็นมรดกภูมิปัญญาฯ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย ที่มีความเรียบง่าย มีสุขภาวะทั้งกายและใจที่แข็งแรง รู้จักการพึ่งพาตนเองด้วยวิธีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เป็น “กับข้าว” ที่คนในชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำในพื้นที่ภาคกลาง นำวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ

\"ยูเนสโก\" ประกาศขึ้นทะเบียน \"ต้มยำกุ้ง\" มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยชื่อ "ต้มยำกุ้ง" เกิดจากการนำคำ 3 คำมารวมกันได้แก่ "ต้ม" "ยำ" และ "กุ้ง"ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำอาหารที่นำเนื้อสัตว์ คือ กุ้ง ต้มลงในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรซึ่งปลูกไว้กินเองในครัวเรือนอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และปรุงรสจัดจ้านแบบยำ ให้มีรสเปรี้ยวนำด้วยมะนาว ตามด้วยรสเค็มจากเกลือหรือน้ำปลา รสเผ็ดจากพริก รสหวานจากกุ้ง และขมเล็กน้อยจากสมุนไพร นั่นเอง

"นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า "ปัจจุบัน ภูมิปัญญาการทำต้มยำกุ้งได้มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง และแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สูตรต้มยำกุ้งที่แปลกใหม่มากมาย เพื่อตอบสนองต่อสภาพทางภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต และรสนิยมการบริโภคอาหารที่แตกต่างกันไปของคนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งยังเป็นอาหารที่ได้รับความนิยม ชื่นชอบของชาวต่างชาติ"

"ถือเป็น Soft power ด้าน อาหาร เมนูสำคัญของประเทศไทย ที่กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเป็นเมนูยอดนิยมของคนทั่วโลก"

หลังจากที่มรดกวัฒนธรรมของไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ทางกระทรวงวัฒนธรรม มีแนวทางการส่งเสริมและต่อยอดตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ในการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร โดยใช้เศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ

อาทิ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ตลอดจนเชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ

เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไป สู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย