ภายหลังนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้ออกมาแถลงชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่า เรียกรับเงิน 3 แสนบาท จากลูกความ โดยทนายตั้ม ยอมรับว่าเรียกเก็บค่าเเถลงข่าวจริง เเต่ไม่ใช่ทุกเคส อ้างเป็นค่าป้องกันถูกฟ้องในอนาคต และบางช่วงบางตอน ได้พูดถึงเกี่ยวกับคดีของนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ทำให้ตนเองไม่มีงานนาน 6 เดือน นั้น
1 เมษายน 2566 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น ได้นำหลักฐานซึ่งอ้างว่าเป็น สลิปโอนเงินที่แฟนคลับของลุงพล 2 คน ซึ่งอยู่ต่างประเทศ ได้โอนเงินมาช่วยเหลือเรื่องคดี จำนวน 500,000 บาท เข้าบัญชี "มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม" ของทนายตั้ม
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันเรื่องว่าหากจะทำคดีลุงพลจะคิดเท่าไหร่ ทนายตั้มจึงประเมิน และส่งใบเสนอราคาไปบอกว่า 3 ล้านบาท แฟนคลับที่อเมริกา และแคนาดา บอกว่าราคาสูงเกินไป ทนายตั้มจึงยอมลดให้เหลือ 2 ล้านบาท และบอกกับแฟนคลับว่าให้โอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิทนายเพื่อประชาชน หลังจากนั้นแฟนคลับที่อเมริกา ก็มีการเชิญชวนระดมทุนบรรดาแฟนคลับลุงพล ให้ช่วยกันบริจาคผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิของทนายตั้ม
ข้อมูลที่แฟนคลับของลุงพลให้มา ตนเองก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จมากน้อยขนาดไหน แต่หากทนายตั้ม บริสุทธิ์ใจจริง ก็ให้เอาสเตทเม้นท์ธนาคารช่วงที่ทนายตั้มไปบ้านกกกอก 6 – 7 เดือน ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชนก็จะรู้ว่ามีการโอนเงินจริงหรือไม่
ทนายอั๋น กล่าวอีกว่า สาเหตุที่นำข้อมูลนี้ออกมาเผยแพร่ เพราะมองว่าการกระทำของทนายตั้ม สร้างความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพทนายความ และจากกรณีที่เกิดขึ้น ตนได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อนายกสภาทนายความ เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมของทนายตั้ม ว่าเข้าข่ายกระทำผิดมรรยาททนายความหรือไม่อย่างไร
หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีพฤติกรรม ที่ขัดต่อข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ว่าด้วยการดำรงตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ ก็ควรจะพิจารณาลงโทษตามระเบียบของสภาทนายความ