เรื่องของ “กล้วย” ที่ไม่กล้วยๆ แต่คุณประโยชน์เยอะมาก
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทง และในปี 2564 นี้ ตรงกับวันที่ 19 พฤศจิกายน ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย จะมีการจัดงานวันลอยกระทง ให้ประชาชนได้นำกระทงมาลอย ตามคติความเชื่อเพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคา ซึ่งกระทงส่วนใหญ่จะทำมาจากต้นกล้วยและใบตอง แต่นอกจากการนำต้นกล้วยและส่วนต่างๆ ของกล้วยมาประดิษฐ์เป็นกระทงหรืองานฝีมืออื่นๆ แล้ว “กล้วย” ยังสามารถนำมาประกอบอาหาร หรือปรุงเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยวิธีการใช้ประโยชน์จากกล้วยตามองค์ความรู้ด้านศาสตร์การแพทย์แผนไทย ใช้เป็นรักษาโรคทางระบบทางเดินอาหาร ยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำและบำรุงน้ำนมในสตรีให้นมบุตร โดยเฉพาะ ตำรับกล้วยดองน้ำผึ้ง ตามศาสต์หมอพื้นบ้าน ยังเป็นยาอายุวัฒนะ อีกด้วย
นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย มีการนำกล้วยน้ำว้ามาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ เช่น
กล้วยน้ำว้าดิบหรือห่าม
- มีรสฝาด
- สรรพคุณ จะใช้บรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ (อุจจาระไม่มีมูกเลือดปนหรือท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้) เนื่องจากสารแทนนินในกล้วยน้ำว้าดิบหรือห่าม ช่วยลดการหดเกร็งและลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
- วิธีรับประทาน ให้รับประทานครั้งละ ครึ่งลูก หรือ 1 ลูก หรือฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 10 กรัม ชงในน้ำร้อน 120 – 200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร หรือเมื่อมีอาการ
กล้วยน้ำว้าสุก
- มีรสหวาน มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- สรรพคุณ ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากมีสารเพคตินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยเพิ่มกากอาหารให้กับลำไส้ เมื่อผนังลำไส้ถูกดันก็จะทำให้รู้สึกอยากขับถ่าย
- วิธีรับประทาน ให้รับประทานครั้งละ 1 – 2 ลูก และดื่มน้ำเปล่าตามมากๆ
หัวปลี
- สรรพคุณ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนมในสตรีให้นมบุตร
- วิธีรับประทาน จะนำมาปรุงเป็นอาหารเมนูต่างๆ เช่น ยำหัวปลี แกงเลียงหัวปลี หมกหัวปลีใส่ไก่ ฯลฯ หรือรับประทานเป็นผักเคียงในเมนูผัดไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีตำรับยาหมอพื้นบ้าน ที่เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณ และบำรุงกำหนัด คือ
กล้วยดองน้ำผึ้ง
- วิธีทำ นำกล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือกแล้วใส่ลงในโหลแก้ว จากนั้นเติมน้ำผึ้งพอท่วม ดองไว้ 3 เดือน
- ขนาดรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง โดยตำรับนี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน