svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

BOJเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐหนักที่สุด 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบ 15 ปี

ถึงแม้ว่าสภาสหรัฐทั้งสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะตกลงกันในนาทีสุดท้ายในการผ่านร่างงบประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลทำเนียบขาวต้องตกอยู่ในภาวะ Government Shutdown ได้อย่างหวุดหวิดในวันนี้ แต่ BOJ ซึ่งเคยลงทุนถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐมากที่สุดและนับเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดด้วยนั้นจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มเทขายบอนด์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นมูลค่าสูง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์โดยเป็นการเทขายมากสุดในรอบ 15 ปี เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียวเป็นปริมาณก้อนโดถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งที่ทำให้เกิดการขาดทุนทางบัญชีทันทีหลัง Mark-To-Market

อย่างไรก็ตาม ในการเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐของ BOJ ครั้งนี้เท่ากับเป็นสัญญาณสิ้นสุดความต้องการในการแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนของนักลงทุนหรือธถรกิจของญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อบอนด์สกุลเงินดอลลาร์มีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.8% และยังส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงโดย Dollar Index หลุดลงมาที่นะดับ 98 ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงไตรมาสสองปีนี้ขณะที่ทางด้านคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเริ่มถอดอังกฤษออกจากแผนที่ของสมาชิกอียู 28 ประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการถอนตัว (Brexit) ที่จะมีขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ไป1. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีการถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐมากที่สุด และนับเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดด้วยนั้นจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มเทขายบอนด์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นมูลค่าสูง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียวเป็นปริมาณก้อนโดถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งที่ทำให้เกิดการขาดทุนทางบัญชีทันทีหลัง Mark-To-Market จากฐานะการถือครองบอนด์ในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นการเทขายมากสุดในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่ปี 20022. โดยที่การเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐของ BOJ ครั้งนี้เท่ากับเป็นสัญญาณสิ้นสุดความต้องการในการแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนของนักลงทุนหรือธถรกิจของญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อบอนด์สกุลเงินดอลลาร์มีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.8%จากการคาดการณ์ของดอยช์แบงก์ ระบุว่า ทิศทางเงินดอลลาร์นับจากนี้ไปน่าจะเคลื่อนไหวในจุงหวะที่ค้อนข้างผันผวนระหว่าง 100-25 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับปัจจุบันที่มีการซื้อขายแลกดปลี่ยนที่ระดับ 11 เยนต่อดอลลาร์3. นอกจากนี้ปฏิกิริยาของตลาดยังส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงโดย Dollar Index หลุดลงมาที่นะดับ 98 ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงไตรมาสสองปีนี้ สวนทางกับแนวโน้มจีดีพีของสหรัฐที่อ่อนตัวลงในปันี้หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐแถลงตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 0.7% ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตาคาดการณ์ว่าจีดีพีสหรัฐจะโตเพียง 0.2% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยจองเฟดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา4. ทางด้านคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเริ่มถอดอังกฤษออกจากแผนที่ของสมาชิกอียู 28 ประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนที่กระบวนการถอนตัว (Brexit) ที่จะมีขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ไป เนื่องจากรายงานในแผนที่ล่าสุดเกี่ยวกับาภาวะการว่างงานในอียูของ European Commission เดือนกถมภาพันธ์ 2017หากไล่จากแผนที่เปิดเผยฐานะการว่างงานดังกล่าว จะพบว่า ยุโรปยังคงมีปัญหาการว่างงานในระดับสูงโดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาอย่างกรีซและสเปนที่มีอัตราการว่างงานส๔งถึง 23.1% และ 18% ตามลำดับ ขณะที่ประเทศขนาดใหญ่เป็นอันดับสองคือ ฝรั่งเศสก็มีอัตราการว่างงานสูงถึง 10% ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และกำลังอยู่ในช่วงหาเสียงอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งรอบที่สองที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ระหว่าง Emmanuel Macron และ Marine Le Penนอกจากยี้อิตาลีที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามมีอัตราการส่งงานสูงถึง 11.5% ก็กำลังประสบปัญหาวิกฤติระบบธนาคาร ยกเว้นเยอรมันที่เป็นประเทศขนาดใหญี่ที่สุดมีอัตราการว่างงานต่ำเพียง 3.9% ส่วนประเทศในยุโรปตะวันออกและสแกนดิเนเวียมีอัตราการว่างในระดับปานกลางระหว่าง 4.3-9.3% แต่กลับไม่ปรากฏว่ามีการบรรจุแผนที่รายงานตัวเลขของอังกฤษเอาไว้แต่อย่างใด5, จับตาปัญหาวืกฤติแบงก์ในอิตาลีตลิดช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา อาจลุกลามจนเกิดอาการช็อคกระทบต่อเศรษฐกิจ หลังจากที่ทางการอิตาลีประกาศว่าไม่สามารถจะอุ้มแบงก์ Alitalia ได้อีก เนื่องจากต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลถึง 2 แสนล้านยูโรทำให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ต้องเร่งทบทวนมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินซึ่งนำมาสู่การที่มีกระแสข่าวว่ามาริโอ ดรากี้ อาจต้องผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน โดยอาจจะทำการเพิ่มเม็ดเงิน QE อีกครั้ง จากสัญญาณในการอถลงข่าวภายหลังการประชุมของ ECB เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา