สืบเนื่องจากเรื่องนี้ทำให้ เนชั่นบันเทิง ต้องตามไปทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ อุ๋ย บุดดาเบลส ซึ่งทำให้เราได้คำตอบว่า เขาเป็นชาวพุทธตัวอย่างอีกหนึ่งคนกับการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าทำแล้ว เห็นผลจริง เพราะเคยใช้ชีวิตแบบสุดขั้วสุดเหวี่ยงมาก่อน"เป็นคนชอบตั้งคำถามมาตั้งแต่เด็กๆ และชอบอ่านหนังสือ อ่านเยอะจนถามตัวเองว่าคนเราเกิดมาทำไม ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าพ่อแม่เป็นคนทำให้เราเกิดมาก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกเป็นปกติอยู่แล้ว เวลามีปัญหาหรือทะเลาะกัน ทำไมลูกถึงต้องยอม เรื่องของความกตัญญูหรือบุญคุณ อาจจะไม่จำเป็นต้องทำรึป่าว จนมาค้นพบว่าศาสนาพุทธให้คำตอบกับเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุมีผล จนมีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ บ้านไฟไหม้ และทำให้คนในครอบครัวเป็นทุกข์ จึงหันหน้าเข้าหาธรรมะเพื่อดับทุกข์ ปรากฏว่าจากแค่ลองทำก็ให้อะไรมากกว่าที่คิด ความคิดหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเพราะวันนี้"
ในวันนี้เราเป็นคนธรรมะ ธรรมโม ขนาดไหน
"ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองเป็นคนธรรมะ ธรรมโม เพราะตนแยกคนมีธรรมะกับคนรู้ธรรมะออกจากกัน เพียงแค่ใช้ชีวิตให้อยู่ในความควบคุมของตัวเองให้ได้ โกรธรู้ตัวว่าโกรธ ทุกข์รู้ตัวว่าทุกข์ ไม่พอใจรู้ตัวว่าไม่พอใจ มีสติควบคุมไม่ปล่อยให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปท่องพระไตรปิฎกให้ได้ แต่มองว่าทำแบบนี้มีประโยชน์กับสังคมมากกว่า อยากให้ตัวเองเป็นชาวพุทธโดยการปฏิบัติ พยายามทำในสิ่งที่ดีงาม"
จากภาพลักษณ์ที่เราคุ้นกับลุคของศิลปินที่มีผลงานเพลงออกมาให้ได้ฟังกัน แต่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าผู้ชายคนนี้ มีแนวความคิดที่ค่อนข้างสวนทางกันกับอาชีพที่ต้องเจอแสงสี และความบันเทิง ทั้งต้องแสดงความสุขให้คนอื่น เข้าผับ ร้องเพลง อยู่กับของมึนเมา แต่ อุ๋ย บุดดาเบลส กลับคิดในสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง ในมุมของสัจธรรมของชีวิต เข้าใจในเรื่องของมิจฉาฐิฑิเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ อุ๋ย ผ่านการบวชมาแล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก้ต้องบอกว่ามีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว"บวชครั้งแรกไปปฏิบัติธรรมก่อน พอออกจากคอร์สปฏิบัติธรรมก็อินศาสนาเลย ก็เลยศึกษามาเรื่อยๆ จนอยากบวชเอง ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อเรื่องการบวชตามประเพณี เพราะรู้สึกว่าถ้าอยากจะบวชต้องรู้ก่อนว่าบวชเพื่ออะไร เพราะถ้าบวชเข้าไปแล้วจะได้ไม่ทำผิด เนื่องจากการเป็นพระต้องไปขอข้าวมากิน ต้องทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย ซึ่งเรื่องพวกนี้อยู่ในบทสวดทำวัตรเช้า-เย็น บอกไว้อยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่บวชก็บวชเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชการที่9 จนถึงขั้นเดินทางไปศึกษาพระธรรมที่ประเทศอินเดียด้วย"
หากพูดถึงการประพฤติปฏิบัติของผู้ชายคนนี้ในเรื่องของหลักคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว เค้าบอกว่า เน้นทำดีเริ่มต้นที่ใจตนเองก่อน ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดธรรมบุญเสียเงินเสียทองมหาศาล เพียงแค่คิดดีทำดี ให้จิตใจสงบและสบายใจ
"พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละบาปก่อนทำบุญ เพราะทำบุญเนี่ย ปล้นเงินคนอื่นมาทำบุญก็ได้ แต่ละบาปโจรไม่สามารทำได้ ง่ายๆ ก็คือการถือศีลที่คนทั่วไปทำได้ง่ายที่สุด "
หากพูดเรื่องของชาวพุทธตัวอย่าง แม้ว่าเจ้าตัวจะยังถ่อมตน ว่าตัวเองยังไม่สามารถที่จะใช้คำนั้นได้ ทำให้เราต้องถามต่อว่ายังมีอะไรที่คิดว่าเองยังไม่เหมาะกับคำว่า ชาววพุทธตัวอย่าง
"ผมยังต้องศึกษาอีกหลายอย่าง อยากให้ดูคนที่การประพฤติ ปฏิบัติ เพราะตนเองก็ทำอะไรผิด พลาดมาเยอะ ยังพุดจาหยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ แค่นี้ก็ยังไม่ผ่านศีล5เลย ถ้าจะดูเรื่องธรรมะอยากให้มองที่การกระทำมากกว่าคำพูด"
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ยังรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่ต้องปรับตัว หรือใช้หลักธรรมมาแก้ไขอยู่บ้าง
"มีอีกหลายอย่างมากๆ ทั้งกิเลส ตัณหา กิน กาม เกียรติ ยังมีเหมือนมนุษย์ปกติ ผมเพียงแค่พยายามฝึกฝน ลด ละ เลิก ให้มันค่อยๆจางไป ยังอยากได้อยากมี ตอนนี้ก็ยังต้องคอยเตือนสติตัวเองอยู่ว่าให้มีสติเมื่อความโลภเข้าครอบงำ"
ในฐานะคนของประชาชน คนที่มีชื่อเสียงที่ต้องใช้ชีวิตในกรอบ มันยากขนาดไหน
"ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด แต่การเป็นคนที่อยู่ในสื่อ คนที่โดนจับจ้องก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในเมื่อเลือกที่จะทำอาชีพนี้แล้ว เวลาได้ก็ได้เยอะ เวลาคนรักก็รักเยอะ เวลาเกลียดเค้าก็เกลียดเยอะ มันเป็นของที่ติดมาในอาชีพนี้ที่เราเลือกแล้ว และเราก็ต้องเข้าใจสิ่งนี้ แต่ส่วนตัวดีใจที่มีกรอบมีคนคอยตรวจสอบให้ไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดี"
จากเหตุการณ์ล่าสุดที่ อุ๋ย ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเรื่องนี้เอง ทั้งสื่อเอง หรือประชาชนทั่วไปให้ความสนใจกับผู้ชายที่ชื่อ อุ๋ย บุดดาเบลส จนทำให้ทราบว่าเขาคนนี้ก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องธรรมะและประพฤติปฏิบัติตนในฐานะชาวพุทธได้เป็นอย่างดี เรียกว่าแม้ว่าจะมีกระแสทั้งด้านบวกหรือลบ ก็ทำให้กลายเป็นเรื่องง่ายกับการรับมือ
"ผมเคยมีประสบการณ์เรื่องแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาแล้ว ก็จะมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คนที่เกลียดก็เกลียดแรง ประสบการณ์ครั้งนี้ก็รู้แต่แรกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจให้เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นเรื่องของศาสนาที่มีผลสำคัญ ในฐานะพุทธศาสนิกชนคนนึงที่ควรออกมาพูด เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นคนเปิดประเด็น แล้วสังคมหันมาสนใจ และทุกคนไปหาคำตอบกันเองก็จะเป็นเรื่องที่ดี ไม่ได้เรียกร้องให้ใครเชื่อตาม แต่เชื่อว่าทุกคนมีวิจารณญาณไตร่ตรองเองได้ เพราะผมมีเจตนาบริสุทธิ์กับพระพุทธศาสนา จึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของสังคม"
ท้ายที่สุดแล้ว ถามความเชื่อมั่นของ อุ๋ย อีกครั้งว่าครั้งนี้เรียกว่าเราตั้งรับได้ใช่มั้ย
"ผมคิดว่าผมมีเจตนาดี และผมก็คิดว่าทำในสิ่งที่สมควรแล้ว แค่นั้นเอง"