"ลุงตู่" คาดโทษไฟป่าเกิดผู้ว่าฯต้องรับผิดชอบ

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 3 เม.ย.ที่ห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลาง จ.เชียงราย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดีลักลอบเผาป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยสามารถจับกุมได้จำนวน 4 ราย รายแรกเป็นชายอายุ 39 ปี ชาว อ.เวียงชัย ได้ก่อเหตุจุดไฟเผาสวนยางที่จนลุกลามเสียหายไปกว่า 200 ต้น รายที่ 2 เป็นชายอายุ 33 ปีก่อเหตุจุดไฟเผาผ่าเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปืมทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติดอยปุย ในเขต อ.เมือง จ.เชียงราย
โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ไปห้ามปราม ได้ยิงปืนขู่และมีดไล่ฟันเจ้าหน้าที่จึงถูกจับกุมและยึดของกลางเป็นปืนแก๊ปได้ 1 กระบอก กระสุนและดินปืนลูกกตะกั่วจำนวนหนึ่ง มีดยาว 1 เล่ม นอกจากนี้ยังพบยาบ้าอีก 1 เม็ดด้วย รายที่ 3 เป็นชาย อายุ 29 ปี ชาว อ.แม่สรวย ก่อเหตุเผาป่าหลังหมู่บ้าน และรายที่ 4 อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบคุคลที่ก่อเหตุเผาป่าสงวนแห่งชาติลำน้ำกกพื้นที่หมู่ 12 ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย
โดยการจับกุมผู้ก่อเหตุทั้ง 4 รายนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ จ.เชียงรายได้มีประกาศห้ามการเผาในที่โล่งทุกชนิด 60 วันปลอดการเผา ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.-21 เม.ย.2563 แต่ยังคงมีการลักลอบเผาป่ากระจายไปในหลายอำเภอ ทำให้เกิดหมอกควันสมทบกับไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้านทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ในพื้นที่ยังคงหนาแน่นโดยล่าสุดวันนี้สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ อ.เมือง จ.เชียงราย วัดได้ 118 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ อ.แม่สาย วัดได้ 198 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
นายประจญ กล่าวว่าจังหวัดเชียงรายเมื่อเปรียบเทียบช่วงเดือน มี.ค.2562 ที่ผ่านมา มีจุดความร้อนหรือฮอตสปอตในพื้นที่ลดลงถึงกว่า 80% และต้องพยายามให้ปลอดการเผาเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองและหมอกควันที่มีอยู่แล้วลงอีก โดยจึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้มงวดและกรณีติดตามจับกุมคนกระทำความผิดได้แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบหาตัวมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้อย่างเข้มงวด

โดยล่าสุดทาง พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งถึงทุกจังหวัดให้การเกิดไฟป่าเป็นศูนย์หรือไม่ให้เกิดไฟป่า หากพื้นที่ใดยยังเกิดขึ้นจะคาดโทษผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นด้วย ซึ่งมาตรการที่เข้มข้นนี้จะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปดังนั้นทางจังหวัดจะเข้มงวดในทุกพื้นที่และเกิดไฟป่าขึ้นพื้นที่นั้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบ
ในจังหวัดเชียงรายเองได้มีการเดินการรณรงค์และหาแนวทาแก้ไขปัญหามาตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการประสานกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีการปกครองโดยชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติทำให้การงดเผาเป็นไปได้ยากทำเกิดหมอกควันสะสมเข้ามาในจังหวัดเชียงราย

"ส่วนการทำฝนเทียมนั้นหลายคนยังไม่เข้าใจคิดว่า ร้องขอก็แล้วเครื่องบินมาก็สามารถเกิดฝนได้ การเกิดฝนเทียมต้องอาศัยความชื้นในอากาศ 60 เปอร์เซนต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางจังหวัดได้รณรงค์ฉีดพ่นน้ำแล้วถึง 2 ครั้ง โดยได้ขอความร่วมมือให้กับประชาชนมีพอมีน้ำที่ใช้ฉีดรดต้นไม้ หรือผลผลิตทางกรารเกษตร หรือมีเพียงพอที่จะชะล้างถนนหรือลังคาบ้านตัวเอง ให้ออกมาช่วยฉีดน้ำในเวลาเดียวกันเพื่อสร้างความชุ่มชื้นในอากาศ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คนที่ชาดแคลนน้ำที่จะนำมาอุปโภคบริโภคอยู่แล้วนำน้ำออกมารดน้ำ ซึ่งผลการดำเนินการก็ไม่เพียงพอที่จะเกิดความชื้นในอากาศที่จะทำให้สารเคมีที่พ่นใส่ในการสร้างฝนเทียมได้ จึงไม่สามารถทำฝนเทียมได้สำเร็จ" ผู้ว่าฯเชียงราย กล่าว