Healthy Lifestyle เป็นการเลือกดำเนินวิถีชีวิตแบบรักสุขภาพ ไม่ว่าจะรับประทานอาหารคลีน งดเนื้อสัตว์ เน้นผักและผลไม้ ตัดคาร์โบไฮเดรต ควบคุมอาหารและยังหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทว่า กลับยังไม่ได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการ เป็นเพราะอะไร มาร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน
เชื่อหรือไม่ “บางครั้งการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาจไม่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้ ซ้ำร้ายอาจบั่นทอนร่างกายหากเคร่งครัดมากเกินไป”
รู้แล้วเลิกทำ!! 7 วัน 7 Healthy Lifestyle เรื่องดีๆ ที่อาจไม่ดีถ้ามากเกินไป
1. กินอาหารแบบคุมแคลอรีมากเกินไป
เอลิซาเบธ เดโรเบอร์ทิซ (Elizabeth DeRobertis) นักโภชนาการและผู้อำนวยการของศูนย์โภชนาการอาหารที่สคาร์สเดลเมดิคัลกรุ๊ป โรงพยาบาล ไวต์เพลนส์ กล่าวถึงกรณีการลดพลังงานขาเข้าในร่างกายไว้ว่า “หากคุณพยายามที่จะลดน้ำหนักและลดแคลอรีมากเกินไป อาจทำให้คุณไม่มีพลังงานที่เหมาะสมเพื่อให้ดำเนินชีวิตได้ตลอดวัน”
เดโรเบอร์ทิซ อธิบายเพิ่มว่า อาหารให้พลังงานเพื่อยังคงมีสมาธิและทำสิ่งต่างๆ ได้ตลอดทั้งวัน ขณะที่บางครั้งผู้คนคิดว่าหากต้องการลดน้ำหนักก็ควรกินให้น้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่นั่นไม่ได้ผลในระยะยาว เมื่อบางคนจำกัดอาหารที่นำเข้าสู่ร่างกาย ระบบการเผาผลาญจะช้าลงและอาจรู้สึกหมดพลัง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยความหิว และตามมาด้วยการรับประทานเกินไป
สำหรับการแก้ปัญหานี้ เมลิสสา เมจัมดาร์ (Melissa Majmdar) นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำหนักและความอ้วน แนะนำว่า “หากคุณรู้สึกว่าไม่ค่อยมีพลัง ก็ควรเริ่มจากการเพิ่มโปรตีนปราศจากไขมันปริมาณ 1-2 ออนซ์ (30-60 กรัม) ธัญพืชเต็มเมล็ดครึ่งถ้วย หรือไขมันที่ดีต่อสุขภาพ 1 ช้อนชา
2. เว้นระยะห่างระหว่างมื้อนานเกินไป
บางคนเลือกme Intermittent Fasting (IF) ซึ่งเป็นวิธีการลดน้ำหนักวิธีหนึ่ง โดยการควบคุมแคลอรีและจำกัดเวลาในการทานอาหาร โดยมีหลากหลายวิธีในการปฏิบัติ แต่วิธีที่ได้รับความนิยมก็คือจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง เรื่องที่ต้องรู้เพิ่มขึ้นคือการปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป ก็ส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าได้ โดย เมลิสสา เมจัมดาร์ กล่าวว่า “บางคนอาจเคยประสบกับอาการง่วงนอนตลอดเวลา เฉื่อยชา เหมือนกับลักษณะของการรับประทานมากเกินไปแทนการรู้สึกหิวตามปกติ หาก 2-3 ชั่วโมงหลังมื้ออาหาร แล้วรู้สึกว่าแทบไม่มีพลังงานในการทำกิจกรรม ควรคิดถึงอาหารว่างที่เป็นไฟเบอร์และโปรตีน อย่างผลไม้สดกับถั่วสักหนึ่งกำมือ”
3. ตัดคาร์โบไฮเดรตออกจากมื้ออาหาร
การเลือกกินแบบ Low Carb Diet และ Ketogenic Diet อาจซ่อนผลร้ายต่อสุขภาพไว้ด้วยหากไม่ระวัง เพราะการรับประทานคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไปไม่เพียงทำให้รู้สึกไม่ดี เหนื่อยและหงุดหงิดง่ายเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ยังสามารถนำไปสู่ภาวะการขาดน้ำของร่างกายซึ่งทำให้รู้สึกอ่อนล้าได้ด้วย
แม้ว่าคาร์โบไฮเดรตกับน้ำในร่างกายไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกัน แต่ เดโรเบอร์ทิซ อธิบายความเกี่ยวข้องของการลดคาร์โบไฮเดรตซึ่งนำไปสู่การขาดน้ำของร่างกายว่า “ทุกกรัมของคาร์โบไฮเดรตที่เก็บสะสมในร่างกาย จะมีการเก็บน้ำไว้ด้วย 2-3 กรัม เมื่อบางคนรู้สึกว่าพลังลดลงในช่วงบ่าย ฉันจะคิดถึงต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาและต้องการน้ำ เมื่อเรารดน้ำต้นไม้ มันก็จะฟื้นขึ้นมา ซึ่งฉันคิดภาพว่าสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับเซลล์ในร่างกายของเราด้วย เมื่อเราไม่ได้รับน้ำที่เพียงพอในแต่ละวัน”
การลดคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรแน่ใจว่าไม่ได้ละเลยคาร์โบไฮเดรตที่อุดมด้วยไฟเบอร์อย่างผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด
4. กินผักเยอะดีแต่ไม่สมดุล
การเลือกกินผักผลไม้ ลดหรือไม่รับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของมื้ออาหาร ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น Healthy Lifestyle หรือวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด แต่เราจะต้องตระหนักถึงการบริโภคสารอาหารต่างๆ ที่มีความสมดุล เรื่องนี้ เอลิซาเบธ เดโรเปอร์ทิซ อธิบายว่า “หากบางคนเลือกที่จะรับประทานมังสวิรัติ แต่ไม่ระวังที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก ไม่ว่าจากอาหารเสริมหรือจากพืชอย่างเพียงพอ อาจต้องจบลงด้วยภาวะโลหิตจาง และความรู้สึกเหนื่อยล้า”
นอกจากเนื้อวัวแล้ว อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงยังมีทั้งผักโชม และถั่ว ซึ่งหากรับประทานธาตุเหล็กจากพืชก็ควรที่จะเพิ่มวิตามินซีเข้าไปด้วยเพื่อช่วยในการดูดซึม โดย เมลิสสา เมจัมดาร์ แนะนำว่า "ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ควรระวังว่าอาจเกิดภาวะขาดวิตามินบี 12 แม้ว่าอาจใช้เวลาหลายปีในการทำให้เกิดภาวะนี้ แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเสริม หากไม่รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเนื้อวัว ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม"
5. กินหวานมากไปแบบไม่รู้ตัว
บางครั้งเราก็บริโภคน้ำตาลมากไปโดยไม่รู้ตัว เพราะอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบันมักมีน้ำตาลแฝงที่ไม่ได้มาในรูปแบบน้ำตาล น้ำเชื่อมตามปกติ หรือแม้แต่การกินผลไม้สุกที่มีรสหวานจัด ซึ่งนั่นเป็นการรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปทำให้เกิดความเฉื่อยชาได้ เพราะแม้กับคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพก็ยังต้องถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในร่างกาย แล้วตับอ่อนจะตอบสนองโดยการสร้างอินซูลินออกมาเพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ซึ่งนักโภชนาการแนะนำว่า ควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นหลังอาหารแต่ละมื้อ หากรู้สึกว่าเหนื่อยล้าหลังมื้ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็ควรแบ่งการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในแต่ละช่วงของวัน
6. ออกกำลังกายมากเกินไป
การหักโหมออกกำลังกายมากเกินไปทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งคำว่ามากเกินไปจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เป้าหมาย ระดับความเครียด สุขภาพโดยรวม ระดับความฟิตของร่างกาย รวมทั้งประเภทการออกกำลังกาย นอกจากนี้ การที่ร่างกายมีพลังงานน้อยเกินไปสำหรับการออกกำลังกาย ยังทำให้เกิดความอ่อนล้าได้ เพราะในขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะเผาผลาญไขมันร่วมกับคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหากรับประทานคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอก็ยากที่จะเกิดพลังงานในการออกกำลังกาย
และหากยังคงเกิดรูปแบบนี้ต่อไปก็จะทำให้คาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ในร่างกายที่เรียกว่า ไกลโคเจน ไม่มีการสะสมเข้ามาใหม่ ส่งผลให้รู้สึกหมดแรง หงุดหงิด และขาดความมั่นใจในการออกกำลังกาย โดยเราจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการสังเกตความรู้สึกก่อนและหลังการออกกำลังกาย แล้วพิจารณาถึงการเพิ่มคาร์โบไฮเดรตหรือการแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย หรือลดการออกกำลังเพื่อให้สมดุลกับพลังงานในร่างกาย
7.นอนพักผ่อนมากเกินไป
ผลเสียจากการนอนมากเกินไป ได้แก่ ‘สมองทำงานช้า’ พอสมองทำงานช้า ความคิดความอ่านก็จะช้า รู้สึกเฉื่อยชา กลายเป็นคนไร้เรี่ยวแรง ไม่มีชีวิตชีวา ไม่อยากขยับร่างกาย ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อไม่ค่อยถูกใช้งาน ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกได้
‘อ้วนง่าย’ การนอนจะทำให้ระบบอาหารไม่ย่อย แม้จะกินน้อยแต่ระบบเผาผลาญไม่ทำงาน ร่างกายเริ่มสะสมไขมัน ซึ่งก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ ความดัน และเบาหวาน และยังส่งผลต่อการ ‘มีบุตรยาก’ โดยผลจากการศึกษาผู้หญิงเกาหลีใต้ ในปี 2013 พบว่าผู้ที่นอนนานเกินวันละ 9 ชั่วโมงต่อวัน จะเกิด ‘ภาวะมีบุตรยาก’ กว่าคนที่นอน 7-8 ชั่วโมง ถึง 650 คน เพราะฮอร์โมนและรอบเดือนของผู้หญิงจะเป็นปกติก็ต่อเมื่อได้รับการพักผ่อนอย่างพอดี
นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อ ‘โรคซึมเศร้า’ โดยในปี 2012 ได้มีการศึกษาผู้หญิงสูงวัยที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมง นั้นจะมีอารมณ์แปรปรวน สมองทำงานแย่ลงเพราะสารแห่งความสุขจะผลิตน้อยลง ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนที่นอนปกติถึง 49% และสุดท้ายเมื่อเรานอนมากไปก็ทำให้ ‘ตายเร็ว’ ซึ่งคนที่หลับง่ายและนอนนานๆ จะไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ส่งผลให้ออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่นอนอย่างพอดีถึง 1.3%
เห็นแล้วใช่ไหมว่า การมีไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพเป็นเรื่องดี แต่หากเคร่งครัดหรือทำแบบหักโหมมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี