ทิม คุก ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ของแอ๊ปเปิ้ล นำทีมเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารของบริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไอโฟนรุ่นใหม่ 3 รุ่นที่อาคาร สตีฟ จ็อบส์ เธียเตอร์ เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ มีไอโฟน 10 เอส แม็กซ์ ที่มีขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วแบบโอแอลอีดี ซึ่งเป็นไอโฟน ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่บริษัทเคยผลิตมา พร้อมกับแบตเตอรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแอ๊ปเปิล ที่สามารถใช้งานได้นาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
ไอโฟนรุ่นใหม่ ตอบสนองพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคยุคนี้ ที่ต้องการเห็นจอที่กว้างกว่าเดิม เพราะทุกวันนี้ใช้สมาร์ทโฟนดูและบันทึกวิดีโอ เช่นเดียวกับการถ่ายรูป ขณะเดียวกัน ไม่มีปุ่มโฮมมาแย่งพื้นที่ และใช้เทคโนโลยีจับใบหน้าเพื่อปลดล็อกการใช้งาน
คาดว่าการทำไอโฟนที่มีราคาสูงขึ้น จะทำให้แอ๊ปเปิ้ลทำกำไรได้มากขึ้น แม้ว่าผู้บริโภคจะอัพเกรดรุ่นโทรศัพท์กันน้อยลง เพราะตลาดสมาร์ทโฟนทั้งโลกเติบโตแค่ 2 % โดยแอ๊ปเปิ้ลตั้งราคาสมาร์ทโฟน ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ไว้ที่ 724 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ มีไอโฟนสิบเอส มีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วแบบโอแอลอีดี เท่ากับไอโฟนสิบในปัจจุบัน โดยรุ่นนี้สามารถกันน้ำ มีโพรเซสเซอร์ที่ทำงานเร็วขึ้น รวมทั้งมีการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเลนส์คู่ ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายภาพดีขึ้น พร้อมกับแบตเตอรีที่จะสามารถใช้งานนานขึ้น 30 นาที
ทั้งไอโฟนสิบเอส แม็กซ์ และไอโฟนสิบเอส รองรับระบบ dual SIM ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โทรศัพท์ 2 เลขหมายบนเครื่องเดียวกัน ส่วนไอโฟนสิบอาร์ มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้วแบบแอลซีดี และมีแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานนานขึ้น 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยราคาไอโฟนสิบอาร์ เริ่มต้นที่ 749 ดอลลาร์ ส่วนไอโฟนสิบเอส เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ และไอโฟนสิบเอส แม็กซ์ เริ่มต้นที่ 1,099
ขณะที่ไอโฟนรุ่นเก่า คือไอโฟน 7 มีราคาเริ่มต้น 449 ดอลลาร์ และไอโฟน 8 มีราคาเริ่มต้น 599 ดอลลาร์
ทั้งนี้ แอ๊ปเปิ้ลจะรับพรีออเดอร์สำหรับไอโฟนสิบเอสและสิบเอส แม็กซ์ ในวันศุกร์นี้ ตามเวลาสหรัฐ และลูกค้าจะเริ่มได้รับสินค้าในวันที่ 21 ก.ย. ส่วนพรีออเดอร์สำหรับไอโฟนสิบอาร์ จะมีขึ้นในวันที่ 19 ต.ค. และจะเริ่มได้รับสินค้าในวันที่ 26 ต.ค.
นอกจากนี้ แอ๊ปเปิ้ล ยังเปิดตัวแอ๊ปเปิ้ล วอทช์ รุ่นใหม่ ซีรีส์โฟร์ มีหน้าจอใหญ่ขึ้น และมีระบบตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยจะแจ้งเตือนหากมีอัตราการเต้นผิดจังหวะ ทั้งยังแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งได้รับการอนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) แล้ว