เรากินกาแฟกันทุกวันเพื่อหวังผลให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว เพราะในกาแฟมี “คาเฟอีน (Caffeine)” ที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ต้านสารแอดิโนซีน (Adenosine) ที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนในสมอง และสารแซนทีนอัลคาลอยด์ (Xanthine alkaloid) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ลดความง่วง ลดความเหนื่อยล้าลงได้ แต่มีอีกหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ และคนวัยทำงานที่มักเลือกดื่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟ เพราะหวังผลในเรื่องของ “การลดน้ำหนัก” มาดูกันว่าแนวคิด “กินกาแฟลดความอ้วน” เป็นจริงแค่ไหนในแง่วิทยาศาสตร์
ในกาแฟมีสารสำคัญมากกว่า 1,000 ชนิดซึ่งให้ประโยชน์ต่อร่างกาย มีหลายชนิดที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสลายไขมันในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่ใช้พลังงาน ระหว่างออกกำลังกาย หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่อยู่เฉยๆ โดยสารสำคัญในกาแฟที่มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน อาทิ
แม้จะอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่ที่หลายคนลืมคิดไปนั่นคือ มันมีปริมาณ “น้อยมาก” เมื่อเทียบกับสัดส่วนของร่างกายมนุษย์
ทีมวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกา ในสวีเดน มหาวิทยาลัยบริสตอล และอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ในสหราชอาณาจักร ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “คาเฟอีน” ในเลือดและปริมาณการเผาผลาญ “ไขมัน” ในร่างกาย เพื่อหาว่าการดื่มกาแฟช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
นักวิจัยได้ค้นพบว่าเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนแบบไม่มีแคลอรี คือไม่ใส่นมและน้ำตาล สามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ และอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการใช้คาเฟอีนไร้แคลอรีเพื่อลดภาวะโรคอ้วน
ยังมีอีกการศึกษาจาก University of Nottingham ที่พบว่ากาแฟอาจช่วยกระตุ้นเนื้อเยื่อ “ไขมันสีน้ำตาล” ให้ทำงานเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีขึ้น โดยศาสตราจารย์มิเชล ไซมอนด์ หนึ่งในผู้ร่วมผลิตงานวิจัยอธิบายว่า ไขมันสีน้ำตาลทำงานต่างจากไขมันอื่นในร่างกาย โดยทำงานสร้างความร้อนด้วยการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะอากาศหนาวเย็น ทำให้ร่างกายเพิ่มการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด และสุดท้ายการเผาผลาญแคลอรีพิเศษนี้จะช่วยลดน้ำหนักได้ในที่สุด
คาเฟอีนมีส่วยช่วยให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานและไขมันดีขึ้น เพราะกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการการเผาผลาญพลังงานและไขมัน โดยจะไปเพิ่มฮอร์โมนอิพริเนฟริน (Epinephrine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenarine) ทำให้ร่างการสลายและใช้ไขมันเป็นพลังงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่า การดื่มคาเฟอีน 300 มก. ต่อวัน อาจช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้นถึง 79 กิโลแคลอรี และยังพบว่าคาแฟอีนยังช่วยป้องกันโรคตับ โรคมะเร็งตับ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานมากขึ้นจะทำให้ลดไขมันได้ ในทางกลับกัน เราก็ต้องทำให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยกว่าที่ใช้ออกไปด้วย (Negative Energy Balance) จึงจะทำให้ไขมันในร่างกายลดลงได้
ปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ไม่เกิน 400 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หากการดื่มกาแฟ 1 แก้วใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการเข้าสู่กระแสเลือด และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อคาเฟอีนจึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ และสามารถออกฤทธิ์ได้นาน 3-4 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม หากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร เสียดท้อง อาหารไม่ย่อย ทำให้ใจสั่น และทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มคาเฟอีนมากเกินไป หรืออาจทำให้เกิด “ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ (Caffeine intoxication)” ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบส่วนกลางของร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป ส่งผลให้หน้าแดง ปวดหัว หงุดหงิด ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง กระสับกระส่าย วิตกกังวล ความคิดและการพูดสับสน ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง ร่างกายขาดน้ำ รวมถึงอาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในร่างกายได้ อีกความน่ากลัวของกาแฟคือ ส่วนผสมที่แต่งเติมรสชาติของกาแฟ ทั้งไซรัป น้ำตาล นมข้น ครีมเทียม ที่มีน้ำตาลและมีไขมัน เราจึงควรดื่มกาแฟที่ไม่มีสารเติมแต่งเพื่อให้ได้ “ประโยชน์” มากกว่า “โทษ”
เนื่องจากคาเฟอีนส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแก้ปวด ยาแก้ไข้ ยาแก้หวัด หรือยาลดน้ำมูก เพื่อช่วยส่งเสริมให้ยาออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น
“ดื่มกาแฟตอนเช้าช่วยลดความอ้วน” ความจำที่จำไม่ได้แล้วว่าได้รับเรื่องราวแบบนี้มาจากไหน เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือ เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความเข้าใจผิดๆ มาดูกัน
เริ่มด้วยข้อมูลที่เราเกริ่นไปแล้วว่า กาแฟช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ เป็นเรื่องจริง! โดยมีรายงานการวิจัยชี้ว่าการกินกาแฟดํา ลดความอ้วนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะสารสำคัญอย่าง “คาเฟอีน” ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกายมากขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากดื่มเข้าไปภายใน 5 นาที มันจึงมีผลต่อกระบวนการลดน้ำหนักได้โดยตรง ภาพรวมคือร่างกายจะลดไขมันได้เร็วขึ้น
และด้วยความที่คาเฟอีนส่งผลให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัว มีพลังงานทำกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีการทำกิจกรรมก็เกิดการใช้พลังงาน เมื่อพลังงานถูกนำไปใช้ก็ไม่เกิดการสะสมพลังงานในรูป “ไขมัน” จึงช่วยให้ร่างกายมีรูปร่างสมส่วนมากกว่าเดิม ใครเป็นสายเฮลท์ตี้ชอบออกกำลังกายยิ่งสามารถเพิ่มพลังทำให้รู้สึกมีแรงในการออกกำลังกายมากขึ้น ควบคุมกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายรูปแบบคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง หรือแม้แต่กระทั่งในการแข่งขันกีฬา
ดื่มกาแฟมื้อเช้า : ดื่มกาแฟดํา ไม่ใส่ครีมเทียมหรือน้ำตาล คู่ไปกับการกินอาหารเช้าที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างพลังงานที่ดีตลอดทั้งวัน เช่น ไข่ต้ม, ข้าวโอ๊ต, ผลไม้ หรือขนมปังโฮลวีต
ดื่มกาแฟมื้อกลางวัน : ดื่มกาแฟเมนูโปรด (อาจผสมนมหรือเลือกแบบหวานน้อย) คู่ไปกับอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อไก่, เนื้อวัว, เนื้อปลา, อาหารทะเล หรืออาหารมังสวิรัติ เพื่อเสริมความอิ่มท้อง ลดความอยากอาหาร เผลอทานจุกจิกในช่วงระหว่างวัน
ดื่มกาแฟเป็นของว่างยามบ่าย : เลือกดื่มกาแฟ คู่ไปกับผลไม้ น้ำผลไม้ หรือโยเกิร์ต เพื่อเสริมตัวเลือกดีๆ ที่เป็นประโยชน์ย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่า
สารสกัดหรือส่วนผสมที่ถูกนำไปอยู่ใน “กาแฟลดความอ้วน” มักเติมสิ่งที่ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น กินแล้วอยู่ท้อง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว หรือสิ่งที่ยับยั้งการย่อยแป้งไม่ให้ เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลเพื่อใช้เป็นพลังงาน โดยส่วนใหญ่ส่วนผสมที่อยู่ในกาแฟลดความอ้วนที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ย่อมเป็นส่วนผสมที่ถูกสกัดมาจากสารธรรมชาติอย่าง สาหร่าย ถั่วขาว โกจิเบอร์รี่ ส้มแขก เห็ดหลินจือ ไฟเบอร์ หรือไคโตซาน เป็นต้น แต่บางยี่ห้ออาจเติมส่วนสารสกัดที่อันตราย เช่น สารขับปัสสาวะ ที่ทำให้ร่างกายขับน้ำออกเยอะ ๆ แล้วน้ำหนักลดลง ารกระตุ้นประสาท ทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอาหาร พอเราไม่กินอาหารเข้าไปน้ำหนักจึงลดลง หรือสารเร่งเผาผลาญที่อันตราย โดยตัวสารเหล่านี้จะไม่ถูกระบุอยู่ข้างกล่องทำให้เราแยกได้ยากว่ากาแฟลดความอ้วนยี่ห้อไหนปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย แต่หากกินเข้าไปแล้วเกิดอาการแปลกๆ อย่างหัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง ใจสั่น นอนไม่หลับ วียนหัวมาก ประสาทหลอน รู้สึกเบลอ มึนงง ไม่มีสมาธิ ปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำ ควรหยุดกินทันที
ดร.คาทารินา คอส อาจารย์อาวุโสด้านโรคเบาหวานและโรคอ้วนจากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ ในสหราชอาณาจักร เคยออกมาเตือนผู้บริโภคว่า แม้คาเฟอีนจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่เป้าหมายการวิจัยไม่ได้ต้องการแนะนำให้ดื่มกาแฟมากขึ้นเพื่อ “ลดน้ำหนัก”
ขณะที่ ดร.สตีเฟน ลอเรนซ์ รองศาสตราจารย์คลินิกที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัย Warwick ในสหราชอาณาจักร อธิบายว่าการดื่มชากาแฟในปริมาณที่มากเพื่อหวังผลในการลดไขมัน หรือ “ลดน้ำหนัก” ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย เนื่องจากบางคนอาจมีภาวะไวต่อคาเฟอีน ดังนั้น หากดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้มีอาการใจสั่นและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มกาแฟมากๆ ต่อวันจึงไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน
ขอปิดท้ายด้วยความเห็นจากอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่เขียนไว้ในหนังสือ “กินถูก สุขสง่า” ว่ายังไม่มีรายงานใดๆ ที่ออกมาบอกว่า ดื่มกาแฟ (กาแฟจริง ไม่มียาลดน้ำหนักผสม) แล้วลดน้ำหนักได้อย่าง “ถาวร” เพราะลำพังตัวกาแฟจริงๆ จะมีสารคาเฟอีนผสมอยู่ สารคาเฟอีนจะออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองที่ตื้อๆ เฉื่อยชา ตื่นตัวขึ้นมา เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า การนำเอาเหตุผลการดื่มกาแฟมีผลต่อการเผาผลาญร่างกาย แล้วจะทำให้ร่างกายผอม ลดน้ำหนักได้นั้น ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ทางวิชาการไม่ยอมรับ เพราะเราต้องดื่มในปริมาณที่มากๆ จึงจะเกิดผล แต่ผลเสียและอันตรายจะเกิดขึ้นก่อนผอม เรียกว่า “ตายก่อนที่จะสวย”
สุดท้าย เราหวังว่า 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ กาแฟช่วยลดความอ้วนได้จริง? ที่รวบรวมมาให้ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังสงสัยและเคยเชื่อหมดใจว่า “กินกาแฟช่วยลดความอ้วน”