svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

รวม 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ กาแฟช่วยลดความอ้วนได้จริง?

24 มิถุนายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> NationTV
logoline

ตีแผ่ “กินกาแฟลดความอ้วนได้ไหม” เปิด 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ พร้อมงานวิจัยอ้างอิง และบทสรุปของเรื่องนี้

เรากินกาแฟกันทุกวันเพื่อหวังผลให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว เพราะในกาแฟมี “คาเฟอีน (Caffeine)” ที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ต้านสารแอดิโนซีน (Adenosine) ที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนในสมอง และสารแซนทีนอัลคาลอยด์ (Xanthine alkaloid) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ลดความง่วง ลดความเหนื่อยล้าลงได้ แต่มีอีกหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ และคนวัยทำงานที่มักเลือกดื่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟ เพราะหวังผลในเรื่องของ “การลดน้ำหนัก” มาดูกันว่าแนวคิด “กินกาแฟลดความอ้วน” เป็นจริงแค่ไหนในแง่วิทยาศาสตร์

รวม 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ กาแฟช่วยลดความอ้วนได้จริง?

1 ทำไมหลายคนชอบคิดว่า “กินกาแฟช่วยลดความอ้วน”?

ในกาแฟมีสารสำคัญมากกว่า 1,000 ชนิดซึ่งให้ประโยชน์ต่อร่างกาย มีหลายชนิดที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสลายไขมันในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่ใช้พลังงาน ระหว่างออกกำลังกาย หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่อยู่เฉยๆ โดยสารสำคัญในกาแฟที่มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน อาทิ

  • คาเฟอีน : เป็นสารที่พบได้ในกาแฟ มีความสามารถในการกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน และมีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • กรดคลอโรจีนิค : สารที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยให้ร่างกายมีการดูดซึมไขมันลดลง ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก
  • แอนติออกซิแดนท์ : สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในกาแฟ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางอย่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการควบคุมน้ำหนัก

แม้จะอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่ที่หลายคนลืมคิดไปนั่นคือ มันมีปริมาณ “น้อยมาก” เมื่อเทียบกับสัดส่วนของร่างกายมนุษย์

2 งานวิจัย “คาเฟอีน” กับ “การลดลงของไขมัน” ในร่างกาย

ทีมวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกา ในสวีเดน มหาวิทยาลัยบริสตอล และอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ในสหราชอาณาจักร ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “คาเฟอีน” ในเลือดและปริมาณการเผาผลาญ “ไขมัน” ในร่างกาย เพื่อหาว่าการดื่มกาแฟช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

นักวิจัยได้ค้นพบว่าเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนแบบไม่มีแคลอรี คือไม่ใส่นมและน้ำตาล สามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ และอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการใช้คาเฟอีนไร้แคลอรีเพื่อลดภาวะโรคอ้วน

ยังมีอีกการศึกษาจาก University of Nottingham ที่พบว่ากาแฟอาจช่วยกระตุ้นเนื้อเยื่อ “ไขมันสีน้ำตาล” ให้ทำงานเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีขึ้น โดยศาสตราจารย์มิเชล ไซมอนด์ หนึ่งในผู้ร่วมผลิตงานวิจัยอธิบายว่า ไขมันสีน้ำตาลทำงานต่างจากไขมันอื่นในร่างกาย โดยทำงานสร้างความร้อนด้วยการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะอากาศหนาวเย็น ทำให้ร่างกายเพิ่มการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด และสุดท้ายการเผาผลาญแคลอรีพิเศษนี้จะช่วยลดน้ำหนักได้ในที่สุด

3 คาเฟอีนช่วยสลายไขมันมาเป็นพลังงานเพิ่มขึ้นจริง

คาเฟอีนมีส่วยช่วยให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานและไขมันดีขึ้น เพราะกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการการเผาผลาญพลังงานและไขมัน โดยจะไปเพิ่มฮอร์โมนอิพริเนฟริน (Epinephrine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenarine) ทำให้ร่างการสลายและใช้ไขมันเป็นพลังงานเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่า การดื่มคาเฟอีน 300 มก. ต่อวัน อาจช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้นถึง 79  กิโลแคลอรี และยังพบว่าคาแฟอีนยังช่วยป้องกันโรคตับ โรคมะเร็งตับ  และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานมากขึ้นจะทำให้ลดไขมันได้ ในทางกลับกัน เราก็ต้องทำให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยกว่าที่ใช้ออกไปด้วย (Negative Energy Balance) จึงจะทำให้ไขมันในร่างกายลดลงได้

 

4 ปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวัน และผลข้างเคียงจากการดื่มคาเฟอีนมากเกินไป

ปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ไม่เกิน 400 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หากการดื่มกาแฟ 1 แก้วใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการเข้าสู่กระแสเลือด และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อคาเฟอีนจึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ และสามารถออกฤทธิ์ได้นาน 3-4 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม หากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร เสียดท้อง อาหารไม่ย่อย ทำให้ใจสั่น และทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มคาเฟอีนมากเกินไป หรืออาจทำให้เกิด “ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ (Caffeine intoxication)” ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบส่วนกลางของร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป ส่งผลให้หน้าแดง ปวดหัว หงุดหงิด ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง กระสับกระส่าย วิตกกังวล ความคิดและการพูดสับสน ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง ร่างกายขาดน้ำ รวมถึงอาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในร่างกายได้ อีกความน่ากลัวของกาแฟคือ ส่วนผสมที่แต่งเติมรสชาติของกาแฟ ทั้งไซรัป น้ำตาล นมข้น ครีมเทียม ที่มีน้ำตาลและมีไขมัน เราจึงควรดื่มกาแฟที่ไม่มีสารเติมแต่งเพื่อให้ได้ “ประโยชน์” มากกว่า “โทษ”

 

5 สารสำคัญในกาแฟอย่าง “คาเฟอีน” ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยา

เนื่องจากคาเฟอีนส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแก้ปวด ยาแก้ไข้ ยาแก้หวัด หรือยาลดน้ำมูก เพื่อช่วยส่งเสริมให้ยาออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น

  • ยาอีเฟดรีน (Ephedrine) เป็นยาลดน้ำมูก ดังนั้น หากเรากินยาและดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรืออาการชัก
  • ยาธีโอฟิลลีน ( Theophylline) ยาขยายหลอดลม มีฤทธิ์คล้ายคาเฟอีน หากกินร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ และใจสั่น
  • ยาเอ็กไคนาเซีย (Echinacea) เป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อป้องกันหวัด หรือการติดเชื้อ หากกินร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการได้รับคาเฟอีนมากจนเกินไป

 

6 กินกาแฟตอนไหน ลดความอ้วนได้ดีที่สุด

“ดื่มกาแฟตอนเช้าช่วยลดความอ้วน” ความจำที่จำไม่ได้แล้วว่าได้รับเรื่องราวแบบนี้มาจากไหน เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือ เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความเข้าใจผิดๆ มาดูกัน  

เริ่มด้วยข้อมูลที่เราเกริ่นไปแล้วว่า กาแฟช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ เป็นเรื่องจริง! โดยมีรายงานการวิจัยชี้ว่าการกินกาแฟดํา ลดความอ้วนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะสารสำคัญอย่าง “คาเฟอีน” ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกายมากขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากดื่มเข้าไปภายใน 5 นาที มันจึงมีผลต่อกระบวนการลดน้ำหนักได้โดยตรง ภาพรวมคือร่างกายจะลดไขมันได้เร็วขึ้น

และด้วยความที่คาเฟอีนส่งผลให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัว มีพลังงานทำกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีการทำกิจกรรมก็เกิดการใช้พลังงาน เมื่อพลังงานถูกนำไปใช้ก็ไม่เกิดการสะสมพลังงานในรูป “ไขมัน” จึงช่วยให้ร่างกายมีรูปร่างสมส่วนมากกว่าเดิม ใครเป็นสายเฮลท์ตี้ชอบออกกำลังกายยิ่งสามารถเพิ่มพลังทำให้รู้สึกมีแรงในการออกกำลังกายมากขึ้น ควบคุมกล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายรูปแบบคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง หรือแม้แต่กระทั่งในการแข่งขันกีฬา

รวม 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ กาแฟช่วยลดความอ้วนได้จริง?

7 การดื่มกาแฟกับอาหารในแต่ละมื้อ เลือกจับคู่อย่างไรดี

ดื่มกาแฟมื้อเช้า : ดื่มกาแฟดํา ไม่ใส่ครีมเทียมหรือน้ำตาล คู่ไปกับการกินอาหารเช้าที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างพลังงานที่ดีตลอดทั้งวัน เช่น ไข่ต้ม, ข้าวโอ๊ต, ผลไม้ หรือขนมปังโฮลวีต

ดื่มกาแฟมื้อกลางวัน : ดื่มกาแฟเมนูโปรด (อาจผสมนมหรือเลือกแบบหวานน้อย) คู่ไปกับอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อไก่, เนื้อวัว, เนื้อปลา, อาหารทะเล หรืออาหารมังสวิรัติ เพื่อเสริมความอิ่มท้อง ลดความอยากอาหาร เผลอทานจุกจิกในช่วงระหว่างวัน

ดื่มกาแฟเป็นของว่างยามบ่าย : เลือกดื่มกาแฟ คู่ไปกับผลไม้ น้ำผลไม้ หรือโยเกิร์ต เพื่อเสริมตัวเลือกดีๆ ที่เป็นประโยชน์ย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่า

 

8 กาแฟลดความอ้วนที่มีขายทั่วไป

สารสกัดหรือส่วนผสมที่ถูกนำไปอยู่ใน “กาแฟลดความอ้วน” มักเติมสิ่งที่ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น กินแล้วอยู่ท้อง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว หรือสิ่งที่ยับยั้งการย่อยแป้งไม่ให้ เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลเพื่อใช้เป็นพลังงาน  โดยส่วนใหญ่ส่วนผสมที่อยู่ในกาแฟลดความอ้วนที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ย่อมเป็นส่วนผสมที่ถูกสกัดมาจากสารธรรมชาติอย่าง สาหร่าย ถั่วขาว โกจิเบอร์รี่ ส้มแขก เห็ดหลินจือ ไฟเบอร์ หรือไคโตซาน เป็นต้น แต่บางยี่ห้ออาจเติมส่วนสารสกัดที่อันตราย เช่น สารขับปัสสาวะ ที่ทำให้ร่างกายขับน้ำออกเยอะ ๆ แล้วน้ำหนักลดลง ารกระตุ้นประสาท ทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอาหาร พอเราไม่กินอาหารเข้าไปน้ำหนักจึงลดลง หรือสารเร่งเผาผลาญที่อันตราย โดยตัวสารเหล่านี้จะไม่ถูกระบุอยู่ข้างกล่องทำให้เราแยกได้ยากว่ากาแฟลดความอ้วนยี่ห้อไหนปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย แต่หากกินเข้าไปแล้วเกิดอาการแปลกๆ อย่างหัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง ใจสั่น นอนไม่หลับ วียนหัวมาก ประสาทหลอน รู้สึกเบลอ มึนงง ไม่มีสมาธิ ปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำ ควรหยุดกินทันที

 

9 คาเฟอีนช่วยเผาผลาญไขมันได้จริง แต่ไม่ควรดื่มเพื่อหวังผล “ลดน้ำหนัก”

ดร.คาทารินา คอส อาจารย์อาวุโสด้านโรคเบาหวานและโรคอ้วนจากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ ในสหราชอาณาจักร เคยออกมาเตือนผู้บริโภคว่า แม้คาเฟอีนจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่เป้าหมายการวิจัยไม่ได้ต้องการแนะนำให้ดื่มกาแฟมากขึ้นเพื่อ “ลดน้ำหนัก”

ขณะที่ ดร.สตีเฟน ลอเรนซ์ รองศาสตราจารย์คลินิกที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัย Warwick ในสหราชอาณาจักร อธิบายว่าการดื่มชากาแฟในปริมาณที่มากเพื่อหวังผลในการลดไขมัน หรือ “ลดน้ำหนัก” ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย เนื่องจากบางคนอาจมีภาวะไวต่อคาเฟอีน ดังนั้น หากดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้มีอาการใจสั่นและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มกาแฟมากๆ ต่อวันจึงไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน

ขอปิดท้ายด้วยความเห็นจากอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่เขียนไว้ในหนังสือ “กินถูก สุขสง่า” ว่ายังไม่มีรายงานใดๆ ที่ออกมาบอกว่า ดื่มกาแฟ (กาแฟจริง ไม่มียาลดน้ำหนักผสม) แล้วลดน้ำหนักได้อย่าง “ถาวร” เพราะลำพังตัวกาแฟจริงๆ จะมีสารคาเฟอีนผสมอยู่ สารคาเฟอีนจะออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองที่ตื้อๆ เฉื่อยชา ตื่นตัวขึ้นมา เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า การนำเอาเหตุผลการดื่มกาแฟมีผลต่อการเผาผลาญร่างกาย แล้วจะทำให้ร่างกายผอม ลดน้ำหนักได้นั้น ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ทางวิชาการไม่ยอมรับ เพราะเราต้องดื่มในปริมาณที่มากๆ จึงจะเกิดผล แต่ผลเสียและอันตรายจะเกิดขึ้นก่อนผอม เรียกว่า “ตายก่อนที่จะสวย”

สุดท้าย เราหวังว่า 9 เรื่องจริงที่คอกาแฟและคนลดน้ำหนักอยากรู้ กาแฟช่วยลดความอ้วนได้จริง? ที่รวบรวมมาให้ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังสงสัยและเคยเชื่อหมดใจว่า “กินกาแฟช่วยลดความอ้วน”

logoline