KEY
POINTS
ยังคงต้องอัปเดตสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยยอดผู้ติดเชื้อรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 12-18 พฤษภาคม 2567 ระบุยอดผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 1,882 ราย เฉลี่ยรายวัน จำนวน 269 รายต่อวัน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว (1,880 ราย) และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านยอดผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์ มีจำนวน 16 ราย เฉลี่ยรายวัน จำนวน 2 รายต่อวัน
ทั้งนี้ ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาลสะสมแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม-18 พฤษภาคม 2567 จำนวน 16,819 ราย เสียชีวิตสะสม 120 ราย ขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบสูงขึ้นต่อเนื่องรวม 679 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 281 ราย ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2567
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความ ว่า
"ขณะนี้โอมิครอนกลายพันธุ์ JN.1, KP.2, KP.3 ได้ระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ข้อมูลจากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า ทั้งหน้ากากอนามัยและวัคซีน ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์เหล่านี้ได้ดีมีประสิทธิภาพเหมือนกับสายพันธุ์ในอดีต ดังนั้น หากท่านและผู้ใกล้ชิดเป็นกลุ่มเปราะบางและมีการติดเชื้อโควิด-19 เพื่อลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ควรพบแพทย์เพื่อเข้าถึงยาต้านไวรัสภายในสามวันหลังจากติดเชื้อ"
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับการเกิดขึ้นของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน หนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายคนสนใจคือ การสวมหน้ากากอนามัยยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและโอมิครอนระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก
งานวิจัยจากอาสาสมัครในอังกฤษ 200,000 คน
งานวิจัยนี้ถอดบทเรียนจากข้อมูลของการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ (UK Office of National Statistics Infection Survey) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครประมาณ 200,000 ราย ที่ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกสองสัปดาห์ในช่วงระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 - 7 พฤษภาคม 2565 และลงตีพิมพ์ในวารสาร PLOS ONE เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567
พบว่าในช่วงการระบาดของเดลต้า (ก่อนกุมภาพันธ์ 2565) การไม่ใส่หน้ากากมีความเสี่ยงสูงกว่าใส่หน้ากากเสมอ ทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่ (ประมาณ 30%) และเด็กวัยเรียน (ประมาณ 10%) โดยผู้ใหญ่มีความแตกต่างของความเสี่ยงสูงกว่ามาก อาจเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่าเด็ก เช่น การเข้าสังคมหรือทำงานนอกบ้าน
การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงในช่วงสายพันธุ์โอมิครอน BA.2
เมื่อเข้าสู่ช่วงการระบาดของโอมิครอน BA.2 เป็นสายพันธุ์หลัก (หลังกุมภาพันธ์ 2565) พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ การสวมหน้ากากอนามัยไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้ใหญ่อีกต่อไป และในกลุ่มเด็ก การไม่ใส่หน้ากากอนามัยกลับมีความเสี่ยงติดเชื้อต่ำกว่าใส่หน้ากากอนามัยเสมอ สาเหตุอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ที่สามารถติดเซลล์ในระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้นมาก หน้ากากอนามัยทั่วไปจึงป้องกันได้ไม่ดีเท่ากับสายพันธุ์ก่อนหน้าที่ติดเซลล์ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง หรืออาจเกิดจากการใส่หน้ากากที่ไม่ถูกวิธี
การคาดการณ์ในอนาคต
หากมีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนรุ่นต่อๆ ไป เช่น โอมิครอน XBB, JN.1, KP.2 และ KP.3 ที่ส่วนหนามมีการกลายพันธุ์เข้าจับกับผิวเซลล์และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น คาดว่าประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันการติดเชื้ออาจลดลงไปอีก เนื่องจากไวรัสเหล่านี้อาจมีความสามารถในการแพร่กระจายที่สูงขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม การใช้หน้ากากที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน้ากาก N95 หรือ KN95 ร่วมกับการสวมใส่อย่างถูกวิธี อาจช่วยรักษาระดับการป้องกันให้ดีขึ้นได้
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก ถอดบทเรียนประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัย: เปลี่ยนแปลงตามสายพันธุ์โควิด-19 จากเดลต้าถึงโอมิครอน
ในขณะเดียวกัน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ได้ถอดบทเรียนการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มเปราะบางด้วยยาต้านไวรัส, ยาแอนติบอดีสำเร็จรูป, และวัคซีนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน (ปรับปรุง 20 พ.ค. 2567 เวลา 09:30)
การระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ทำให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ต้องการการปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือเปราะบาง การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสชนิดเม็ด โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และ แพกซ์โลวิด (Nirmatrelvir/Ritonavir) รวมถึงยาแอนติบอดีสำเร็จรูป โซโทรวิแมบ (Sotrovimab) ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดและวัคซีนในการลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและบางรายถึงขั้นเสียชีวิตจากโควิด-19 การศึกษานี้ยังพิจารณาระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีเชื้อในร่างกายจนมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงการรักษาโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การศึกษาย้อนหลังในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19
การศึกษาครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Trieste และหน่วยงานสาธารณสุข ASUGI ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ผลการศึกษาได้ตีพิมพ์ในวารสาร Pharmaceuticals ฉบับที่ 16 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 โดยมีอาสาสมัครทั้งหมด 386 คน ซึ่งประกอบด้วย
ผลการศึกษาทางคลินิก
ผลการศึกษาพบว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสทั้งสามชนิดมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยไม่มีผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาแพกซ์โลวิดและโซโทรวิแมบมีอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 2% และ 1.8% ตามลำดับ ส่วนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 4 เข็มร่างกายจะขจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ดีและรวดเร็วที่สุด
จากผลการศึกษา
ระยะเวลาที่ผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มติดเชื้อจนมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ
การศึกษายังพบว่าระยะเวลาที่ผู้ป่วยให้ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับยาและวัคซีนที่ใช้
ข้อดีและข้อควรระวังของการรักษาด้วยยาต่างๆ
โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)
แพกซ์โลวิด (Paxlovid®)
โซโทรวิแมบ (Sotrovimab)
บทสรุป การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่ายาต้านไวรัส “โมลนูพิราเวียร์” มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อเปรียบเทียบกับ “แพกซ์โลวิด” และ “โซโทรวิแมบ” การเลือกใช้ยาที่เหมาะสมและการเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความรุนแรงของโควิด-19 และป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังคงมีผลดีช่วยให้ร่างกายกำจัดไวรัสได้รวดเร็ว สังเกตจากการตรวจหาไวรัสจากสวอบด้วย RT-PCR ให้ผลลบโดยใช้เวลาที่สั้นกว่า จึงควรให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพและประหยัดกว่า