svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

เจาะลึกคุณประโยชน์ของ “ไลโคปีน” ในผักผลไม้ที่มีสีแดง

19 เมษายน 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เคล็ดลับสุขภาพ : ซูมประโยชน์ของ “ไลโคปีน” (Lycopene) ในผักผลไม้สีแดง แหล่งรวมสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ดีต่อดวงตา ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ลดไขมันเลว และตัวช่วยให้ผิวสวยใสไม่กลัวแดด

ในแต่ละวันเรามักกินผักผลไม้ “กลุ่มสีเขียว” ที่มีสารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นหลักเพราะหาทานได้ง่ายและมักนิยมนำมาประกอบอาหาร ส่วนผักผลไม้ที่มี “สีแดง” ที่อุดมด้วยไลโคปีน (Lycopene) ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีในอาหารมากเท่าที่ควร ซึ่งในแต่ละวันเราควรได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ และกินอาหารให้หลากหลาย

 

เจาะลึกคุณประโยชน์ของ “ไลโคปีน” ในผักผลไม้ที่มีสีแดง

“ไลโคปีน” เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในไขมัน ทำให้พืชหรือผลไม้มีสีแดง เหลือง หรือส้ม เป็นสารที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างได้จึงต้องรับประทานเข้าไปเท่านั้น “ไลโคปีน” พบมากใน “มะเขือเทศ” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุดในกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้า-แคโรทีน 2 เท่า นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าแอลฟา-โทโคฟีรอล 10 เท่า ซึ่งไลโคปีนจะช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด ลดความรุนแรงที่เกิดจากอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย

ประโยชน์ของ “ไลโคปีน” ในผักผลไม้สีแดง

โดยการศึกษาวิจัยทางคลีนิก พบว่า “ไลโคปีน” ในผักผลไม้สีแดง

1.ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด การรับประทานไลโคปีน หรือมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีนในปริมาณ 8-16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 10-12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด และช่วยดูดซับรังสียูวีเอ และ รังสียูวีบี ทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้มากขึ้น และช่วยลดอาการผิวไหม้อันเกิดจากแสงแดด ทำให้ผิวไม่คล้ำเสียง่าย

2.ปกป้องผิวลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) การรับประทานมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีน 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดดได้ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) โดยช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ไมโตคอนเดรียล (Mitochondrial) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ต่างๆในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ผิวด้วย และช่วยเพิ่มโปรคอลลาเจน (Procollagen) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้

3.เพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ มีการวิจัยพบว่า การรับประทานสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเช่น ไลโคปีน ร่วมกับ วิตามินอี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ ช่วยลดอาการผิวไหม้แดดและช่วยให้ผิวไหม้แดดหายได้เร็วขึ้น รวมทั้ง วิตามินอี ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอีกด้วย

4.ดีต่อผิวและดวงตา ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ผิวหนังและช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก

5.ไลโคปีนช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งปากมดลูก

6.ไลโคปีนช่วยลดปริมาณไขมันไม่ดีชนิด LDL-cholesterol ช่วยชะลอการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด ลดความดันโลหิตและลดการแข็งตัวของหลอดเลือด

“มะเขือเทศ” ควรนำมะเขือเทศมาทำให้สุกก่อนรับประทาน

"ไลโคปีน" กินอย่างไรและกินแค่ไหนดี?

การรับประทานไลโคปีน 10 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ทำให้ระดับไลโคปีนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และช่วยเพิ่มระดับแคโรทีนอยด์ในผิวหนัง ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด โดยการรับประทานผักผลไม้ที่เป็นแหล่งของไลโคปีน

อย่างเช่น “มะเขือเทศ” ควรนำมะเขือเทศมาทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้โครงสร้างของไลโคปีนเปลี่ยนจาก Trans isomers เป็น Cis isomers ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไลโคปีนได้ดีกว่ารับประทานแบบสดๆ

ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมันดี เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดี

ดังนั้น การเลือกรับประทานสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ในการต้านแดด อย่างเช่น ไลโคปีนจากมะเขือเทศ และวิตามินอี จึงเปรียบเสมือนการเสริมสร้างเกราะปกป้องผิวจากแสงแดด ให้ผิวสวยกระจ่างใส มีสุขภาพที่ดีจากภายใน

นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว พักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยทำร้ายผิวจากภายนอก ซึ่งได้แก่ แสงแดด มลภาวะต่างๆ แอลกอฮอล์ และ บุหรี่ ผิวพรรณของเราก็จะคงความสวยงามและอ่อนเยาว์อยู่กับเราได้ยาวนานขึ้น

ผักผลไม้ที่มีสีแดง

ผักผลไม้ที่มีสีแดง

มะเขือเทศ

ในมะเขือเทศ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และวิตามินต่างๆ อย่างวิตามินซี วิตามิเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ฯลฯ อีกทั้งในมะเขือเทศยังมีสารไลโคปีน แคโรทีนอยด์และเบต้าแคโรทีน ซึ่งไลโคปีนสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด นอกจากพระเอกของผักผลไม้ที่มีสีแดง อย่าง “มะเขือเทศ” แล้วยังมี

ทับทิม

ราชินีแห่งผลไม้ที่มากด้วยประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี อี ธาตุเหล็ก แคลเซียม และแมกนีเซียม มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด นอกจากทับทิมจะช่วยในเรื่องของผิวพรรณแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 10 ชนิด อาทิ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งผิวหนัง ฯลฯ อีกทั้งยังช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งอีกด้วย

แอปเปิล

ผลไม้รับประทานได้ง่าย อุดมไปด้วยสารอาหาร แถมยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใย ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

สตรอเบอร์รี่

ผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ซึ่งมากกว่ามะเขือเทศถึง 7 เท่า ซึ่งในสตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง

"ปลาแห้งแตงโม" เมนูเรียกน้ำย่อย ที่มีไลโคปีน ดีต่อสุขภาพ

แตงโม

แตงโมอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และสารไลโคปีน ซึ่ง “ไลโคปีน” เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้

ชมพู่

ชมพู่มีสรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่

บีทรูท

บีทรูทมีสารบีทานินที่มีส่วนช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง และลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก และสารแอนโทไซยานินที่ช่วยลดสารก่อมะเร็งในร่างกาย

 

logoline