ตามปกติแล้ว คนทั่วไปมักจะมีชุดความคิดในหัวว่า การมีโรงไฟฟ้าใกล้บ้าน ไม่ใช่เรื่องดีเสียเลย เพราะอาจต้องเผชิญทั้งฝุ่นควันมลพิษ ที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้า ตลอดจนความเสียหายต่อธรรมชาติ ที่อาจทำให้ราคาที่ดิน ดิ่งเหวอย่างรวดเร็ว ไปพร้อม ๆ กับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนโดยรอบ จนทำให้เกิดคำกล่าวที่ว่า “โครงการเหล่านี้จะไปสร้างที่ไหนก็ได้ แต่ห้ามมาสร้างที่สนามหลังบ้านฉันเด็ดขาด”
ขณะที่พลังงานสะอาดอย่าง พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในขณะนี้ หลาย ๆ ฝ่าย ก็เริ่มแสดงความกังวลว่า ทุ่งกังหันลมหรือโซลาร์เซลล์ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้เดือดร้อน และราคาที่ดินตกลงหรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม มีรายงานวิจัยฉบับใหม่ ที่ดำเนินการโดย Conservative Texans for Energy Innovation (CTEI) ร่วมกับ Advanced Power Alliance (APA) และสมาคมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (SEIA) เผยว่า ความจริงแล้วผลตอบรับของสาธารณะ ต่อโครงการเหล่านี้ ในแง่ผลกระทบต่อชุมชนและราคาที่ดิน กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะหลาย ๆ เคสในสหรัฐฯ พบว่า คนท้องถิ่นรับได้หากจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาตั้งใกล้บ้าน
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้ เจาะการสำรวจไปที่กลุ่มผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ ในมลรัฐเท็กซัส โดยพบว่า ตลาดการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ในเท็กซัส ยังคงคึกคักและมีการแข่งขันสูงเป็นปกติ แม้ทั่วบริเวณของมลรัฐแห่งนี้ จะเต็มไปด้วยโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ก็ตาม
ข้อมูลระบุว่า เท็กซัสมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ มากกว่า 18,800 เมกะวัตต์ คิดเป็น 11.9% ของกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา และเป็นมลรัฐอันดับ 2 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ สูงที่สุดในประเทศ และคาดว่า การเติบโตของการลงทุนพลังงานแสงแดด จะยังคงเติบโตต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอีก 4 กิกะวัตต์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยปกติแล้ว นักพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ระดับสาธารณูปโภค มักจะวางแผนสำหรับการผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 100 เมกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้พื้นที่ประมาณ 800 ถึง 1,000 เอเคอร์ และไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หลายโครงการพลังงานแสงแดด ที่มีกำลังผลิตเกินกว่า 100 เมกะวัตต์ จะอยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกัน ดังนั้นหลาย ๆ โครงการโซลาร์ฟาร์ม จึงมีอาณาเขตติดต่อใกล้เคียงกับชุมชนโดยรอบ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ลดลงมากกว่า 60% ดังนั้นราคาพลังงานแสงอาทิตย์ จึงพิสูจน์ได้ว่า สามารถแข่งขันได้เช่นเดียวกับ การผลิตพลังงานรูปแบบอื่น ๆ