การส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ของไทยในปี 2566 มีปริมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,097,446 ตัน เพิ่มขึ้น 5.55% จากปี 2565 และคิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวมราว 146,867 ล้านบาท
โดยประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ที่สาคัญที่สุดของไทย ซึ่งในปี 2566 ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ไปประเทศญี่ปุ่นประมาณ 459,528 ตัน เพิ่มขึ้น 0.15% จากปี 2565
ส่วนประเทศอังกฤษเป็นตลาดอันดับ 2 ของไทยนั้นการส่งออกในปี 2566 มีปริมาณจำนวน 169,457 ตัน ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมา 6.35% ตามมาด้วยสหภาพยุโรป ซึ่งมีปริมาณส่งออก 142,166 ตัน ลดลง 7.19% จากปี 2565 และประเทศจีน มีปริมาณส่งออกในปี 2566 จำนวน 115,241 ตัน เพิ่มขึ้น 37.37% จากปี 2565
นอกจากตลาดหลักทั้ง 4 แล้ว การส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเลเซีย แคนาดา และประเทศอื่น ๆ มีปริมาณการส่งออกในปี 2566 จำนวน 211,054 ตัน เพิ่มขึ้น 29.55 % จากปี 2565
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมเนื้อไก่จะปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลกทำให้ความต้องการบริโภคอาหารของประเทศต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การผลิตเนื้อไก่ของไทยปี 2567 คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1,948.73 ล้านตัว คิดเป็นปริมาณผลผลิตได้ 3.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.09% จากปี 2566
ซึ่งสะท้อนจากการบริโภคในประเทศ คาดว่าจะมีปริมาณ 2.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.05% เนื่องจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับเนื้อไก่น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำและมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ
ด้านนพ.อนันต์ ศิริมงคลเกษม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศงบในปี 2566 พบว่า กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายรวมในปี 2566 จานวน 18,962.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 740.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.06% จากปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักรายได้จากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น
กลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้นในปี 2566 จำนวน 2,213.17 ล้านบาท ลดลง 654.91 ล้านบาท หรือลดลง 22.83% จากปี 2565 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น กลุ่มบริษัทมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ย ภาษี และค่าตัดจาหน่าย (EBITDA) ในปี 2566 จำนวน 3,196.31 ล้านบาท ลดลง 467.59 ล้านบาท หรือลดลง 12.76% จากปี 2565
โดยกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,376.57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.10 บาทต่อหุ้น ลดลงจานวน 667.90 ล้านบาท หรือลดลง 32.67% จากปี 2565 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 2,044.47 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกาไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทในปี 2566 คิดเป็น 7.26% ของรายได้จากการขาย ลดลงจาก 11.22% ในปี 2565
สำหรับกลุ่มบริษัท GFPT มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อไก่ชั้นนำของประเทศไทย โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเนื้อไก่แปรรูปแบบครบวงจร ประกอบไปด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์
ครอบคลุมตั้งแต่ การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงไก่พันธุ์ การเลี้ยงไก่เนื้อ การแปรรูปเนื้อไก่ การผลิตเนื้อไก่แปรรูปปรุงสุก และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทและของลูกค้า เพื่อจัดจาหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้มีแผนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแปรรูปไก่ โดยเน้นมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังคงให้ความสาคัญในการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นนโยบายการเลี้ยงไก่ในฟาร์มของกลุ่มบริษัทเอง และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับโครงสร้างเงินทุนของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวา คม 2566 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) เท่ากับ 0.43 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่าเพียง 0.27 เท่า
ซึ่งกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายรวมในปี 2566 จำนวน 18,962.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 740.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.06% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ของธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น 1,235.85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.26% เมื่อเทียบกับปี 2565 จากรายได้จากการขายไก่เนื้อเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้รายได้ธุรกิจอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 272.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.98% เมื่อเทียบกับปี 2565 จากรายได้จากการขายอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น โดยรายได้จากธุรกิจอาหาร คิดเป็น 48.03% ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ คิดเป็น 34.54% และธุรกิจอาหารสัตว์ คิดเป็น 17.43 % ของรายได้จากการขายรวมในปี 2566
ในปี 2566 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารจานวน 9,107.19 ล้านบาท ลดลง 768.02 ล้านบาท หรือลดลง 7.78% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565
โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณขายและราคาขายส่งออกไก่แปรรูปลดลง ในปี 2566 กลุ่มบริษัทมีปริมาณขายส่งออกสินค้าเนื้อไก่แปรรูปจำนวน 29,300 ตัน ลดลง 3,300 ตัน หรือลดลง 10.12% จากปี 2565 ส่วนใหญ่ลดลงจากปริมาณส่งออกไก่แปรรูปไปประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้รายได้จากการขายชิ้นส่วนไก่สดและผลพลอยได้จากไก่ในประเทศลดลงจากราคาขายชิ้นส่วนไก่สดและผลพลอยได้จากไก่ในประเทศลดลง รายได้จากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ประกอบด้วยรายได้จากการขายไก่เนื้อให้กับบริษัท GFN (บริษัทร่วมทุน) รายได้จากการขายลูกไก่ให้แก่ตลาดต่างประเทศและในประเทศ และรายได้จากการขายไข่ไก่ Cage-Free ในประเทศ ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 34.54 % ของรายได้จากการขายรวมในปี 2566
ในปี 2566 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ 6,549.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,235.85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.26 % เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายไก่เนื้อเพิ่มขึ้น จากปริมาณขายไก่เนื้อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากการขายลูกไก่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปริมาณขายลูกไก่เพิ่มขึ้น
ในปี 2566 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายอาหารสัตว์ จานวน 3,306.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 272.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.98 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น จากปริมาณขายและราคาขายอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากการขายอาหารสัตว์บกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาขายอาหารสัตว์บกเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันมีรายจ่ายจากกิจกรรมการลงทุนเป็นจำนวน 1,731.42 ล้านบาท โดยมีการซื้อสินทรัพย์ถาวรจำนวน 1,119.82 ล้านบาท ลงทุนในสินทรัพย์ชีวภาพส่วนที่ไม่หมุนเวียนจานวน 682.19 ล้านบาท การลงทุนในปี 2566 เป็นการขยายฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ โดยเงินลงทุนของกลุ่มบริษัท มาจากกระแสเงินสดจากการดาเนินงาน เงินทุนหมุนเวียน เงินกู้ยืมระยะสั้น และเงินกู้ยืมระยะยาว
โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ และโรงงานแปรรูปปรุงสุกแห่งใหม่ ไปพร้อมกับการทยอยสร้างฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อเพิ่มเติม ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าอย่างครอบคลุม และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายกำลังการแปรรูปเนื้อไก่อยู่ที่ 150,000 ตัวต่อวัน และกาลังการผลิตไก่แปรรูปปรุงสุก 30,000 ตันต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ วางแผนการขยายโรงงานผลิตอาหารไก่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดรับกับแผนการขยายกาลังการผลิตไก่เนื้อทั้งวงจร โดยที่กลุ่มบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณปีละ 1,200 - 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การลงทุนดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป