นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Drives 2025 ในหัวข้อ เศรษฐกิจไทย ความท้าทายและโอกาสในปี 2025 ระบุว่า การประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คณะอนุกรรมการ กลั่นกรองฯ) วันนี้ (7 ก.พ.) ได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งจะทยอยปล่อยออกมาตามระยะเวลาที่เหมาะสมตลอดทั้งปีนี้ เพื่อรักษาโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ไปถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 3-3.5%
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ซึ่งจะมีเม็ดเงินที่จะเติมเข้าระบบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ยืนยันว่าจะเดินหน้าแน่นอนภายในไตรมาส 2/2568 ซึ่งจะประชุมอีกก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาได้ในช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้ และนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
โดยครั้งนี้ จะเป็นการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นระบบ Open Loop ซึ่งทุกธนาคารพร้อมจะเข้ามาเชื่อมต่อ โดยจะมีการกำหนดพื้นที่การใช้จ่ายในระดับอำเภอ ให้เกิดการหมุนของเม็ดเงินในระบบ
สำหรับประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนรัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนอย่างแน่นอน โดยต้องรอดูความชัดเจนภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการได้ใกล้เคียงกับการดำเนินการจ่ายเงินในเฟสที่ 3
ทั้งนี้ จากรายละเอียดที่มีการเสนอต่อคณะอนุกรรมการวันนี้ เป็นการทำสรุปที่มีการสำรวจจากสำนักงานเศรษฐกิจแห่งชาติ และใช้กลไกในการสำรวจของกระทรวงการคลังจะเห็นได้ว่าตัวเลขการเดินหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังเร่งรัดโครงการลงทุนของภาครัฐ เช่น โครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่จะช่วยให้ GDP ขยายตัวเพิ่มได้ 0.002% กระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มอีก 5 แสนราย จากเป้าหมายที่ 38.5 ล้านราย จะช่วยให้ GDP ขยายตัวเพิ่ม 0.15% และเร่งรัดโครงการลงทุนของภาคเอกชนที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ที่ขณะนี้มีการยื่นคำขอมาแล้ว 1.3 ล้านล้านบาท ในส่วนนี้หากผลักดันให้เกิดการลงทุนได้จริง ราว 7.5 หมื่นล้านบาท จะช่วยสนับสนุน GDP ได้ 0.19%
รัฐบาลได้วางแนวทางในการผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น โดยการเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงทางการค้าต่าง ๆ (FTA) โดยภายในปีนี้น่าจะทำ FTA กับยุโรปได้สำเร็จ, การเร่งดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI), การเร่งสร้างคน ผ่านการอัพสกิล รีสกิล, การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว
ส่วนในระยะกลาง รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับเรื่อง Green โดยอยู่ระหว่างการออก Green Bond รวมถึงการขับเคลื่อน R&D และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการเร่งรัดเรื่องรถไฟความเร็วสูง ส่วนในระยะยาว รัฐบาลต้องการให้ไทยขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้นจึงต้องวางแผนการลงทุนในเรื่องดังกล่าวอย่างเข้าใจมากที่สุด การเร่งผลักดันการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และการผลักดันให้คนไทยเข้าถึงพลังงานในราคาที่เหมาะสม
ส่วนความคืบหน้าการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ที่จะเป็นตัวเปลี่ยนให้การเติบโตเป็นไปอย่างยั่งยืน โดยรูปแบบธุรกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งเป็นการนำองค์ประกอบของธุรกิจหลายประเภทมารวมกับกาสิโน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน และการท่องเที่ยว เบื้องต้นคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่อจุดในการสร้าง Entertainment Complex ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งยืนยันว่าการดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีการจัดทำกฎหมายที่ชัดเจน
Entertainment Complex ไม่ใช่สิ่งใหม่ และหากดำเนินการได้ จะเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและการท่องเที่ยว โดยเชื่อว่าเมื่อเกิดการลงทุนจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ถึง 5-10% เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวด้านการท่องเที่ยวเป็น 67,000 บาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 45,000-46,000 บาท และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ