แต่ละรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง electoral college แตกต่างกันตามจำนวนประชากร และทั่วประเทศมีเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) รวม 538 เสียง และผู้สมัครประธานาธิบดีคนใดได้เสียงถึง 270 เสียง จะเป็นผู้ชนะ แต่เนื่องจากสวิงสเตท (swing state) ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคใดแน่นอน ทำให้ผู้สมัครประธานาธิบดีทั้งจากพรรครีกับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างให้ความสำคัญอย่างมากกับการชิงคะแนนเสียงในรัฐเหล่านี้
สวิงสเตทในการเลือกตั้งแต่ละครั้งอาจเปลี่ยนไปตามสัดส่วนประชากรที่สนับสนุนพรรคใด ทำให้บางรัฐอาจโน้มเอียงไปทางพรรคใดชัดเจนมากขึ้น และในปีนี้มีสวิงสเตท 7 รัฐ ประกอบด้วยรัฐเพนซิลเวเนีย ที่มีคณะผู้เลือกตั้ง (19 เสียง), รัฐจอร์เจีย (16 เสียง), รัฐนอร์ธแคโรไลนา (16 เสียง), รัฐมิชิแกน (15 เสียง), รัฐแอริโซนา (11 เสียง), รัฐวิสคอนซิน (10 เสียง) และรัฐเนวาดา (6 เสียง) และรวมทั้ง 7 รัฐ มี 93 เสียง โดยรัฐนอร์ธแคโรไลนาเพิ่มเข้ามาใหม่ในครั้งนี้
สวิงสเตทบางครั้งถูกเรียกว่า battleground state หรือ รัฐสมรภูมิ ซึ่งคำนี้มักหมายถึงสนามเลือกตั้งที่ผู้สมัครทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญทุ่มเททั้งเวลา เงิน และการปราศรัยหาเสียง และในบรรดา 7 รัฐ มี 3 รัฐ ที่เป็น blue wall state หรือ รัฐที่เคยโหวตให้ผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตยาวนานระหว่างช่วงปี 2535-2555 ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, มิชิแกน และวิสคอนซิน ต่อมาทรัมป์ชนะใน 3 รัฐนี้ในปี 2559 และโจ ไบเดน ชนะใน 3 รัฐนี้ในปี 2563
ขณะที่สื่อคาดการณ์ว่า แฮร์ริสจะสามารถรวบรวมเสียงคณะผู้เลือกตั้งได้อย่างน้อย 226 เสียง จาก 19 รัฐ และเขตดิสทริกออฟโคลัมเบีย โดยได้รัฐใหญ่ แคลิฟอร์เนีย 54 เสียง, นิวยอร์ก 28 เสียง และอิลลินอยส์ 19 เสียง ซึ่งเธอจะต้องได้อย่าง 44 เสียง จากทั้งหมด 93 เสียงในสวิงสเตท จึงจะทำให้เข้าสู่เส้นชัยได้
ส่วนทรัมป์คาดว่าจะได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 219 เสียง จาก 24 รัฐ โดยได้รัฐใหญ่เท็กซัส 40 เสียง, รัฐฟลอริดา 30 เสียง และรัฐโอไฮโอ 17 เสียง ซึ่งเขาต้องได้อีกอย่างน้อย 51 เสียงจากรัฐสมรภูมิ จึงจะชนะ
เส้นทางสู่ชัยชนะที่ง่ายที่สุดทั้งสำหรับแฮร์ริส และทรัมป์ คือ ต้องชนะในเพนซิลเวเนีย, จอร์เจีย และนอร์ธแคโรไลนา แต่โพลชี้ว่าเธอมีคะแนนนิยมตามหลังทรัมป์ทั้ง 3 รัฐ และแม้อาจมีหลายเส้นทาง ที่จะคว้าเสียงคณะผู้เลือกตั้งใน 7 รัฐเหล่านี้ให้ได้ตามเป้า
แต่อย่างน้อยทั้งแฮร์ริสและทรัมป์จำเป็นต้องชนะในเพนซิลเวเนีย ที่มีคณะผู้เลือกตั้งมากที่สุด 19 เสียง ทำให้ทั้งสองทีมทุ่มเวลาปราศรัยหาเสียง และทุ่มเงิน 360 ล้านดอลลาร์สำหรับการโฆษณาทั้งทางทีวี สื่อดิจิทัล และวิทยุในรัฐนี้
แต่ในกรณีที่ทั้งคู่ได้ 269 เสียงเท่ากัน จะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงคะแนนตัดสินผู้ชนะประธานาธิบดี โดยแต่ละรัฐจะมีเพียงเสียงเดียว และผู้สมัครประธานาธิบดีจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 26 เสียงจาก 50 เสียง จึงจะชนะ
จากนั้นวุฒิสภาจะลงคะแนนเลือกรองประธานาธิบดี โดยวุฒิสมาชิกแต่ละคนมี 1 เสียง และผู้สมัครจะต้องได้ 51 เสียงจึงจะเป็นผู้ชนะ