ก่อนหน้านี้บัวขาวโด่งดังเฉพาะตอนขึ้นเวที ในฐานะนักชกชาวไทย ที่ออกไปต่อยมวยเค-วัน ที่ญี่ปุ่น เคยได้แชมป์มา 2 สมัยในปี 2004, 2006 จากนั้นค่อยๆ ขยับความโด่งดัง เป็นที่รู้จักทั้งประเทศ เมื่อตกเป็นข่าว หายตัวออกจากค่ายชกไปยังไร้ร่องรอย เมื่อ 2 ปีก่อน ก่อนค่อยๆ โผล่ออกมาประกาศขอแยกตัวจากต้นสังกัดเดิม ด้วยเหตุผลเรื่องค่าตัว เพื่อไปชกในศึกไทยไฟท์ จากนั้นด้วยเหตุผลเรื่องธุรกิจ ก็แยกตัวออกจากไทยไฟท์ มาชกและเป็นโปรโมเตอร์ในศึกแมกซ์เวิลด์เรียกว่าขยับความดังและการจับจ้องจากสังคมจากเฉพาะตอนอยู่บนเวที เพิ่มความสนใจมาเป็นตอนที่ยังไม่ขึ้นเวทีเข้าไปอีกฉากหนึ่ง
แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ บัวขาว ก็ได้เพิ่มความโด่งดังให้ตัวเองอีกครั้ง เมื่อสร้างเซอร์ไพรส์เดินลงจากเวทีหน้าตาเฉย ขณะที่การชก ศึกเค-วัน เวิลด์ แมกซ์ ไฟนอล รอบชิงชนะเลิศ รุ่น 70 กก. ที่เมืองพัทยา เมื่อคืนวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา สิ้นสุด 3 ยกชนิดไม่รอฟังการประกาศผลการตัดสิน ที่ตามกติการะบุไว้ว่า หากผลออกมาเสมอกันต้องมีการชกซัดเดนเดท ด้วยยกที่ 4 รวมไปถึงอาจมียกที่ 5 ด้วยซ้ำก่อนผู้จัดการแข่งขัน ที่ยืนงงเต๊กกันอยู่หลายนาที จะตั้งสติได้ ได้ประกาศให้คู่ชกของบัวขาว คือ เอนริโก เคห์ล ชาวเยอรมนี เป็นฝ่ายชนะ คว้าแชมป์ไปครองยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานข่าวยืนยันว่า เจ้าตัวพร้อมด้วยทีมงาน ทันทีทีลงจากเวที บัวขาวและทีมงานได้ขึ้นรถที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เดินทางออกไปจากสนามมวยไปในทันทีถือเป็นความโด่งดัง ที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร... กลายเป็นคนที่ถูกจับจ้องและจับตาครบ ทั้ง ก่อนขึ้นเวที ตอนอยู่บนเวที แถมตอนจะลงจากเวทีอีกต่างหากแต่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า อะไรคือเหตุจูงใจสำคัญ ที่ทำให้ บัวขาว ตัดสินใจทำเช่นนั้น !!!มีผู้วิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่า บัวขาว รู้ตัวดีว่า ทำการ ฟิตซ้อม ในการชกครั้งนี้มา ไม่ดี มีแรงชกแค่ 3 ยก พอรู้ว่าจะต้องชกยกที่ 4 ก็เลยตัดสินใจเพ่นกลับ เพราะขึ้นชกต่อมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้แพ้ มีโอกาสเสียฟอร์มสูง เพราะที่ผ่านๆ มา บัวขาวสร้างชื่อโด่งดังจากการเอาชนะนักชกต่างชาติ ที่มีทั้งของจริงและหมูจริงมาเยอะ ที่แพ้ก็พอมี แต่ที่สำคัญคือ ไม่เคยแพ้นักชกต่างแดนในเมืองไทยแม้แต่หนเดียวหรือบ้างก็ว่า นี่อาจเป็น "ดรามา" อีกฉากของบัวขาว ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรียกกระแสความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งตอนแยกตัวออกจากค่าย ป.ประมุข หรือจากไทยไฟท์ ก็ เคยเกิดเหตุอื้อฉาวทำนองเดียวกันนี้ ถึงขั้นจะเอาตำรวจไปดักจับหากขึ้นเวทีด้วยซ้ำ...แต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ นัดเคลียร์กันลงตัวไปได้ทุกครั้งส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ดูมีโอกาสเป็นไปได้ก็คือ ความขัดแย้ง ระหว่าง บัวขาว กับ เค-วัน ได้เกิดขึ้นจริงๆ โดยมีสาเหตุของ "การพนัน" เข้ามาเกี่ยวข้องย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ต.ค. บัวขาว พร้อมทีมงานและฝ่ายกฏหมาย ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนัน ที่มีอัตราต่อรองการชกของตัวเองบนเว็บไซต์ต่างๆ แต่อย่างใดนั่นคือสัญญาณแรกที่ถูกส่งออกมา ที่แรกๆ ก็ไม่มีใครเอะใจ เพราะคิดว่าการมีราคาต่อรองในการชกมวยแบบนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เว็บไซต์การพนันบางแห่งก็เปิดมาเพื่อล่อใจพวกแม่งเม่าให้มาลองเสี่ยงโชคกันดูซึ่งแน่นอนว่า ราคาที่ออกมานั้น บัวขาวจะเป็นต่อในอัตราที่ค่อนข้างสูง ถือ ถ้าแทงบัวขาว 1 บาท จะได้คืนแค่ 1.2 บ้าน ไม่รวมทุน แต่หากแทงฝ่ายตรงข้ามไว้ 1 บาท จะได้คืนถึง 3.6 บาทแต่ที่ไม่ธรรมดาที่คนใกล้ชิดบัวขาวออกมาเปิดเผยก็คือ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดแข่งขันบางคน ไปแทงพนันฝ่ายตรงข้ามนักชกไทยไว้ แล้วมาบอกกับนักชกไทยว่าอยากให้บัวขาวเป็นฝ่ายแพ้ในการชกที่จะมีขึ้น แลกกับเงินก้อนใหญ่ และอนาคตที่จะโลดแล่นบนเวทีนี้ต่อไป"เซย์โน" คือคำตอบที่นักชกไทยพูดกลับไป พร้อมกับการรู้ตัวแน่ๆ ว่า จะมีการเอาคืน หรือมีการกระทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้บัวขาวได้รับการชูมือในการชกไฟท์นี้แน่นอน"ถ้าใครดูการถ่ายทอดสด จะเห็นว่าตลอดการชก 3 ยก บัวขาวได้พยายามจัดเต็ม ออกอาวุธใส่คู่ต่อสู้ตลอด เพราะรู้ดีว่า ต่อให้ต่อยยก 4 หรือยก 5 ต่อไป ยังไงก็ไม่ชนะ ดังนั้นจึงตัดสินใจทำแบบนี้ เพื่อทิ้งเป็นคำถามให้ผู้ชมได้ตอบกันเองว่า ใครควรที่จะเป็นผู้ชนะในการชก 3 ยกที่ผ่านไปแล้วกันแน่" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับบัวขาว ที่ระบุว่าเจ้าตัวจะออกมาแถลงความชัดเจนของเรื่องนี้ ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ กล่าวทิ้งท้ายทั้งหมดล้วนเป็นความเป็นไปได้ที่เป็นสาเหตุของเรื่องสะท้านผืนผ้าใบที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดคงต้องฟังจากปากของทั้ง 2 ฝ่าย ให้หายคาใจ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า ข้อมูลอาจจะตรงกันทั้งหมด หรือไม่ตรงกันโดยสิ้นเชิงซึ่งสุดท้าย ก็คงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกท่านล่ะว่า จะเลือกเชื่อใครดี !!!