23 เมษายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังตรวจเยี่ยมการสาธิตยุทธโธปกรณ์ สำหรับช่วยลดฝุ่นและดับไฟป่า โดยกล่าวถึงแนวทางการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ว่า ต้องคำนึงถึงกรอบ 3 ด้านคือ
1.ความต้องการต้องสอดคล้องกับภารกิจ ไม่ใช่ซื้อมาแค่ความเท่
2.ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานและสอดคล้องกับสถานการณ์
3.มีความเหมาะสมกับงบประมาณ และการปฎิบัติงานในพื้นที่เช่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องจัดหายุทโธปกรณ์ที่เหมาะสมกับภารกิจ เช่น การนำโดรนมาใช้ หรือการใช้ยุทโธปกรณ์เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดปัญหาหมอกควัน เป็นต้น
นายภูมิธรรม ยังได้ย้ำถึงแนวทางการปฏิรูปกองทัพและลดกำลังพล ว่า ได้มีการพูดคุยร่วมกันกับทุกเหล่าทัพ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยจะเน้นให้สอดคล้องกับการปฎิบัติภารกิจตามลำดับความจำเป็น ที่สุดอาจจะต้องมีการยุบบางหน่วยและไปเพิ่มภารกิจให้กับบางหน่วย แต่ทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลง ให้กองทัพมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความพร้อมรบ พร้อมระบุการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในบางส่วน ก็สามารถตัดลดกำลังพลลงไปได้ ซึ่งการจัดสรรกำลังพลจะต้องทำควบคู่กันในหลายส่วน เช่น การลดจำนวนนายพล ขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาถึงกรอบอัตรากำลัง ตั้งแต่ระดับโรงเรียนทหาร ว่าจะมีการรับเข้ามาจำนวนเท่าไหร่ ทั้งโรงเรียนนายสิบ โรงเรียนนายร้อยทั้งหมด ก็จะสอดประสานกัน และลดจำนวนกำลังพลลงในที่สุด
ขณะเดียวกัน จากนี้ไปการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องมีความสอดคล้องกับขนาดของกองทัพ ที่จะมีการปฏิรูปให้เล็กลง ไม่ใช่จะทำได้ตามอำเภอใจ ซึ่งภาพรวมการปฏิรูปกองทัพจะต้องเห็นเป็นรูปธรรมภายในปี 2580 ตามแผน ซึ่งทั้งหมดก็จะจะต้องสอดคล้องกับภารกิจของกองทัพ และภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกยุคปัจจุบัน
ส่วนกรณีกองทัพไทย มีแนวคิดบูรณาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษของทุกเหล่าทัพเข้าด้วยกันนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมาพูดคุยกันเพื่อดูจุดที่เหมาะสมต่อไป โดยบางเรื่องอาจไม่ได้พูดกันในที่สาธารณะ แต่ขอให้ดูผลลัพธ์ที่ออกมาว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน