นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงธีมการอภิปราย “ดีลแลกประเทศ” ว่า เนื่องจากเห็นว่า พรรคเพื่อไทยนำผลประโยชน์ประเทศ ไปแลกกับผลประโยชน์เพื่อบุคคลในครอบครัว พร้อมยังชี้แจงถึงกรณีที่ฝ่านค้าน ยอมตัดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเป็นเปลี่ยน “บุคคลในครอบครัว” ว่า การใช้คำในวันอภิปรายนั้น ยังจะมีอีกหลายแบบ แต่การปรับแก้คำในญัตตินั้น เป็นการปรับแก้ให้เป็นภาษาที่มีความเหมาะสม
ส่วนการใช้ “บุคคลในครอบครัว” จะพาดพิงไปถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่นั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุว่า มีความเป็นไปได้หากมีพยานหลักฐานข้อเท็จจริง เพราะเห็นว่า การจัดตั้งรัฐบาล และการดำเนินนโยบาย ของรัฐบาลไม่ได้ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก แต่ยึดผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวเป็นตัวตั้ง พร้อมมั่นใจว่า ข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้น ยังไม่เคยมีการเปิดเผยในหน้าสื่อมวลชนมาก่อน เป็นหลักฐานในการยื่นร้องฟ้องดำเนินการต่อไปได้ และเชื่อว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุด และหากนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถชี้แจงแก้ต่าง ก็มีแนวโน้มสูงที่ฝ่ายค้านจะยื่นถอดถอนต่อไป
ส่วนการแบ่งเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ จะอภิปรายด้วยนั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุว่า จะมีการแบ่งเวลากันอยู่แล้ว ส่วนภายในพรรคฯ จะให้ใครมาเป็นผู้อภิปรายนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคฯ
ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังมั่นใจว่า จำนวนเสียงในการลงมตินายกรัฐมนตรี จะสะท้อนเสถียรภาพว่ามีมากน้อยเพียงใด ฉะนั้น ทุกคะแนนเสียงที่จะโหวตเห็นชอบให้กับนายกรัฐมนตรี จะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถประเมินได้ว่า ตกลงแล้ว นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้จริงหรือไม่ และจะมอบหมายให้รัฐมนตรีชี้แจงแทนได้หรือไม่
ส่วนจะฉายภาพให้เห็นถึงรอยร้าวพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ ย้ำว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานในฝ่ายนิติบัญญัติไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่ไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย และพรรคเพื่อไทยก็ต้องถอยตาม ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้น ในการอภิปรายครั้งนี้จะยิ่งเป็นการชี้ให้สังคมเห็นว่า ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ คือเรื่องนี้จริง ๆ