22 กุมภาพันธ์ 2568 จากกรณี "โพยฮั้ว สว." ในเอกสาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0824/0050 ลงวันที่ 3 ก.พ.2568 แจ้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอทราบรายละเอียด เกี่ยวกับคำร้องแต่ละคำร้องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับไว้ดำเนินการ รวมทั้งขอทราบว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการอยู่ในขั้นตอนใดแล้ว
ทั้งนี้ในเอกสารดังกล่าว แจ้งความคืบหน้าการสืบสวนสออบสวนปม "โพยฮั้ว สว." ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี 2567 โดยระบุชัดว่ามีพฤติกรรมฮั้ว ทำเป็นขบวนการ มีการจ่ายค่าจ้าง ความผิดเข้าข่าย "อั้งยี่" พร้อมเตรียมรับเป็นคดีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสว. ได้ออกมาตอบโต้ ประกาศสงคราม เตรียมยื่นถอดถอน "รัฐมนตรี" ที่กล่าวหา อั้งยี่ พ่วงยื่นอภิปราย-แจ้งความ-เชิญสอบในกรรมาธิการ ตามข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม :
ล่าสุด นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก "Angkhana Neelapaijit" ระบุว่า...
กรณีข่าว สว. จะล่ารายชื่อถอดถอน รมต. ยุติธรรม จะเปิดอภิปรายในสภา และจะฟ้องร้องดำเนินคดี รมต. ยุติธรรมนั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการโต้กลับลักษณะเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการแก้แค้น หรือตอบโต้ (reprisal) เพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบ
อีกทั้งที่ผ่านมาสังคมได้มีการตั้งคำถามถึงการเลือก และการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. มาโดยตลอด การตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงอาจเป็นหนทางหนึ่งที่สมาชิกวุฒิสภาทุกคน จะได้พิสูจน์ตัวเองเพื่อให้สังคมได้ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งหากไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหา ผู้กล่าวหาก็จำเป็นต้องชดใช้เยียวยาความเสียหาย และคืนศักดิ์ศรีให้ สว. ทุกท่านที่ถูกกล่าวหา
อังคณา นีละไพจิตร
ส่วนเรื่องที่ สว. ต้องการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้กล่าวหานั้น สว. ที่จะฟ้องคดีจำเป็นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากการขู่จะดำเนินคดีกับผู้กล่าวหา อาจเข้าข่ายการเป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก หรือการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (SLAPP)
เนื่องจากกรณีนี้สังคมให้ความสนใจอย่างมาก และ สว. เองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้มาโดยตลอด ส่วนตัวมีความเห็นว่า สิ่งที่ สว. ควรทำ คือ การชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมกับยอมรับการตรวจสอบจากทุกฝ่ายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมต้องเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็เพราะ พรบ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ให้อำนาจ DSI ในการทำคดีที่ซับซ้อน คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล หรือคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก
นอกจากนั้น DSI ยังมีอำนาจในการให้ความคุ้มครองพยาน เพื่อให้พยานรู้สึกปลอดภัยและสามารถให้การเป็นพยานในชั้นศาลได้ ... เรื่องนี้ สว. ที่จะลงชื่อฟ้องคดีกับผู้กล่าวหา จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการป้องป้องตนเอง กับประโยชน์ที่สาธารณะจะพึงได้รับ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของสมาชิกวุฒิสภาทุกบาททุกสตางค์ล้วนมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงต้องสามารถตรวจสอบการทำหน้าที่ของ สว. ผ่านกลไกต่าง ๆ ได้
อีกทั้งเรื่องนี้ก็ได้มีผู้ไปร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ กกต. แล้ว จึงควรทำความจริงให้ปรากฏ การป้องป้องศักดิ์ศรีของตนเอง กับการปิดกั้นประโยชน์สาธารณะจึงเป็นคนละเรื่อง และในฐานะที่ สว. ได้ชื่อว่า สว. ของประชาชน จึงควรถ่อมตน ใจกว้าง และยอมรับการตรวจสอบ เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย
และอย่างที่ได้พูดไปแล้ว คือ หากสุดท้ายข้อกล่าวหาดังกล่าวพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จะต้องชดใช้เยียวยา และคืนศักดิ์ศรีให้กับวุฒิสมาชิกที่ถูกกล่าวหาทุกคน ... เรื่องนี้ถือเป็นหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่ทุกคนต้องเคารพ
ที่มา เพจเฟซบุ๊ก "Angkhana Neelapaijit"