19 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 "ราชกิจจานุเบกษา" ได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ.2567
โดยเนื้อหาในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ในมาตรา 3 บัญญัติให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559
มาตรา 4 ให้แต่งตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับตั้งแต่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ทั้งนี้กระบวนการคัดเลือกผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำเนินการใหม่ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
อนึ่ง การยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 14/2559 เป็นไปตามความมุ่งหมายของสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากมองว่าคำสั่งดังกล่าว ทำให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 ไม่สะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่กลับทำให้สภาที่ปรึกษาฯ กลายเป็นกลไกภายใต้การกำกับและควบคุมของ กอ.รมน.หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งมีกองทัพบกเป็นหน่วยนำ
คลิกอ่านฉบับเต็ม >>>> พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
บังคับใช้กฎหมายใหม่ “สกัดหนุนเงินก่อการร้าย”
นอกจากนี้ "ราชกิจจานุเบกษา" ยังได้เผยแพร่พระราชบัญญัติอีกฉบับ คือ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเดิมที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2559
สาระสำคัญมีการแก้ไขมาตรา 25 โดยปรับแก้เนื้อหาขยายขอบเขตการเอาผิดผู้ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ไม่จำเป็นต้องรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนนั้น เป็น “บุคคลที่ถูกกำหนด” ว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
ส่วนระวางโทษของผู้สนับสนุนทางการเงินยังเท่าเดิม คือ จำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คลิกอ่าน ฉบับเต็ม >>> พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2567