6 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานว่าจากกรณีเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ไม่สั่งตรวจสอบการระบายข้าว เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว หรือคดีข้าวบูล็อค
โดยล่าสุดมีรายงานว่า คดีนี้ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด ได้ลงนามไม่อุทธรณ์คำสั่ง ไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่เเล้ว
สำหรับคดีนี้อัยการสูงสุดขณะนั้น ฟ้องระบุว่า ขณะนั้น นายกิตติรัตน์ ดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ซึ่งทราบเรื่องการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG แต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อ นายกิตติรัตน์ ทราบเรื่องกลับไม่ตรวจสอบ และไม่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล ไม่สั่งการใดหรือเรียกให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง หรือให้ทำรายงานแสดงความคิดเห็น
ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าว โดยไม่จัดให้มีการแข่งขันราคา กับผู้เสนอราคารายอื่น และไม่มีการประกาศหรือมีหนังสือเชิญชวน ผู้ที่สนใจเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ขัดต่อกฎหมายและระเบียบขององค์การคลังสินค้าว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติ พ.ศ. 2541 อีกทั้งต่อมาบริษัทดังกล่าว ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เป็นผลให้ประเทศอินโดนีเซีย ไม่ทำการค้าขายข้าวกับองค์การคลังสินค้าอีก และเสียหายต่อความสัมพันธ์ในการค้าขายข้าว ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเชีย
โดยองค์คณะวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากข้อมูลการซื้อขายข้าว ส่งมอบข้าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง นายภูมิ ซึ่งเป็น รมช.พาณิชย์ (ในสมัยนั้น) ทราบเป็นอย่างดี และจำเลยรับทราบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านนายภูมิ ส่วนข้อหาสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเนื่องจากไม่มีผลต่อคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการพิจารณาอุทธรณ์คดี ของศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง ตาม พรป.ป.ป.ช.พ.ศ.2561 มาตรา 79 บัญญัติว่า ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาแล้ว ถ้าอัยการสูงสุดเห็นควรอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาต่อไป ให้ดำเนินการได้ กรณีที่อัยการสูงสุดเห็นควรไม่อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบและรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบการพิจารณาด้วย
ซึ่งคดีนี้มีรายงานว่า ภายหลังอัยการสูงสุดเห็นควรไม่อุทธรณ์ เเละเเจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นเเจ้งกลับมายังอัยการสูงสุด ขอให้อุทธรณ์คดีต่อ เเต่ทางอัยการสูงพิจารณายืนยันไม่อุทธรณ์คดี
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้นัดหมายคณะกรรมการฯ ประชุมลงมติเลือกประธานกรรมการและกรรมการ ธปท. โดยในฝั่งกระทรวงการคลัง ได้เสนอชื่อนายกิตติรัตน์ เข้ารับการคัดเลือกเป็นประธานบอร์ด ธปท. เเต่ในวันดังกล่าว ประธานกรรมการคัดเลือกได้หารือกับกรรมการคัดเลือก และเห็นร่วมกันว่า ต้องใช้เวลาในการพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านครบถ้วน เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงให้เลื่อนกำหนดการประชุมออกไปเป็นวันที่ 11 พ.ย. 2567