2 พฤศจิกายน 2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย โดยชี้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายปี ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศ ที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก
โดยรายละเอียดเชิงลึกยังแสดงให้เห็นว่า หนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อการบริโภค และสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ที่ต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยสูง ซึ่งทำให้สถานการณ์หนี้ของประชาชนฐานราก ยากต่อการผ่อนชำระและอาจกลายเป็นหนี้เสียได้ในอนาคต
นายสรรเพชญ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศไทย ไม่อาจพึ่งพานโยบายการเงิน หรือโครงการคลินิกแก้หนี้เพียงอย่างเดียว แม้คลินิกแก้หนี้จะมีบทบาทในการช่วยผู้มีปัญหาหนี้สิน ปรับโครงสร้างหนี้และลดภาระดอกเบี้ย แต่พบว่ามีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น เงื่อนไขที่เข้มงวด ทำให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำ หรือไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่สามารถเข้าร่วมได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหนี้สินต่อครัวเรือนสูงกว่ารายได้ประจำหลายเท่าตัว ทำให้ภาระดอกเบี้ยสูง เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถปลดหนี้ได้เร็วอย่างที่คาดหวัง
อีกทั้งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ยังมีความซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อหนี้มีหลายแหล่ง เช่น หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่น ๆ ที่ต้องผ่านกระบวนการเจรจากับเจ้าหนี้หลายฝ่าย ทำให้ใช้เวลานานกว่าในการหาข้อตกลง การปรับเงื่อนไขหนี้บางรายการ อาจต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และส่งผลให้ประชาชนที่เข้าโครงการบางราย ยังไม่สามารถรับการช่วยเหลือได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ยังคงเห็นผลไม่ชัดเจนในระดับมหภาค ประชาชนจำนวนมากยังคงมีภาระหนี้สะสมที่สูง เมื่อการใช้จ่ายเพื่อบริโภคลดลง เศรษฐกิจโดยรวมจึงอาจได้รับผลกระทบ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นายสรรเพชญ แนะให้รัฐบาลเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดการปัญหานี้ ไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือคลินิกแก้หนี้เพียงลำพัง โดยเสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเชิงรุก เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบริโภคในตลาด ควบคู่กับการเพิ่มการเข้าถึงโครงการคลินิกแก้หนี้ ให้ครอบคลุมมากขึ้น หรือแม้กระทั่งการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังได้เตือนถึงความเสี่ยงในการแทรกแซง ธปท. โดยการแต่งตั้งบุคคลที่ใกล้ชิดเป็นประธานบอร์ด และได้ขอให้รัฐบาลเคารพโครงสร้างการบริหารงานของ ธปท. และสนับสนุนให้มีการคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ในด้านการเงินการคลังมาดำรงตำแหน่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการตัดสินใจของ ธปท. จะเกิดขึ้นจากการพิจารณาที่อิสระ และเป็นมืออาชีพ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น หากความเป็นอิสระของ ธปท. ถูกบั่นทอนโดยอิทธิพลทางการเมือง ที่อาจทำให้การตัดสินใจในเชิงนโยบาย เบี่ยงเบนไปตามความต้องการของรัฐบาล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว