1 พฤศจิกายน 2567 ที่อาคารรัฐสภา "นายนพดล ปัทมะ" สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสการบิดเบือน "MOU 44" ว่าไทยจะเสีย"เกาะกูด" ว่า ข้อเท็จจริงคือเกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสมานานแล้ว และไม่มีใครสามารถยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้ คนไทยไปเที่ยวได้ตลอด ตนไม่เคยได้ยินว่ากัมพูชาเรียกร้องสิทธิเหนือเกาะกูด จึงขอเรียกร้องให้เลิกปั่นกระแสไทยเสียเกาะกูดในขณะนี้เพราะมันเป็นความเท็จ รัฐบาลนี้รักประเทศชาติ ไม่มีใครจะทำให้ไทยเสียดินแดน
ส่วนที่มีการบิดเบือนว่า "MOU 44" จะทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น เห็นว่า "MOU 44" ที่ลงนามโดยนาย สุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด มันเป็นกรอบในการเจรจาเรื่องพื้นที่ทางทะเลและพื้นที่พัฒนาร่วม เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน สองประเทศเลือกวิธีเจรจาทางการทูต จึงเป็นที่มาของ MOU 44 เพื่อวางกรอบในการเจรจา บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนั้น มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาของ"MOU 44" และการเจรจาจะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของทั้งไทยและกัมพูชา อีกทั้งการเจรจานั้นจะต้องกระทำโดยคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา หรือ JTC คนอื่นไปเจรจาไม่ได้ แม้แต่ตัว"นายกรัฐมนตรี"นอกจากนั้น รัฐบาลก่อนนายเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยใช้การเจรจาตามกรอบของ "MOU 44" มาก่อน
ทั้งนี้ "นายนพดล" กล่าวว่า ไม่อยากให้นำเรื่องดินแดนมาบิดเบือนใส่ร้าย อย่างเช่นที่ เคยถูกกระทำในอดีต ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาทั้งๆที่ไทยยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 ที่มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นการใส่ร้ายว่า ตนยกเขาพระวิหารให้กัมพูชาจึงเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง ซึ่งในเรื่องนี้ถูกฟ้องแต่ศาลฎีกาก็ได้พิพากษายกฟ้องตนและในคำพิพากษาก็ได้ระบุว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์ ซึ่งถ้าไม่จุดกระแสคลั่งชาติเพื่อหวังผลการเมืองในขณะนั้น ไทยจะรักษาได้ทั้งดินแดนและความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา แต่เสียดายที่การจุดกระแสด้วยความเท็จ ทำให้มีการปะทะตามแนวชายแดน มีทหารเสียชีวิต และทำให้ในปี 2554 กัมพูชากลับไปศาลโลกอีกครั้งหนึ่งเพื่อยื่นตีความคำพิพากษา
ศาลโลกปี 2505 จนมีคำตัดสินตีความคดีปราสาทพระวิหารเดิมออกมาในปี 2556 ซึ่งในคำพิพากษาก็ระบุชัดเจนว่ากัมพูชา ไม่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก รวมพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรตามที่ตนปกป้องไว้ พร้อมย้ำว่าอย่านำประเด็นรื่องดินแดนมาทำ เป็นประเด็นการเมืองเพื่อหวังบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคณะกรรมการ JTC ที่ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่จากหลายภาคส่วนได้ไปเจรจากับกัมพูชาในเรื่องนี้แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จะต้องนำมาเข้าสภาก่อน ซึ่งจะทำให้ สส.ทุกพรรคการเมืองสามารถร่วมพิจารณาผลการเจรจาได้ ซึ่งการเจรจาดังกล่าวยืนยันว่าจะเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีขั้นตอน