นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังกิจกรรมการเปิดตัวกระบวนการหารือเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา: Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD ของไทยร่วมกับนายมาทีอัส คอร์มันน์ (H.E. Mr. Mathias Cormann) เลขาธิการ OECD ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศว่า เลขาธิการ OECD ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเริ่มกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของไทย และได้หารือกับนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร, มูลนิธิคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน หรือ กกร.และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อรับฟังความเห็น และสร้างความตระหนักรู้ในการเข้าเป็นสมาชิกของไทย ตลอดจนรับทราบความพร้อมและข้อจำกัดของไทยต่อการเข้าร่วมกระบวนการเป็นสมาชิกด้วย โดยทุกภาคส่วนทั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตนเอง ได้ย้ำเจตนารมณ์ที่สำคัญว่า ไทยต้องการเป็นสมาชิกของ OECD และย้ำผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ และสิ่งที่ OECD จะได้รับจากไทยเช่นกัน
ส่วนผลประโยชน์ที่ไทย และ OECD จะได้รับนั้น นายมาริษ อธิบายว่า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้คำนวณว่า การที่ไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD จะทำให้ GDP เติบโตถึง 1.6% เพราะสามารถเพิ่มการแข่งขันของภาคธุรกิจ สามารถก้าวข้ามกับดักการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง และยกระดับชีวิตของประชาชน เพราะไทยต้องปฏิรูปทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยอาศัยมาตรฐานตัวชี้วัดการปฏิรูปประเทศนี้ แต่การเข้าเป็นสมาชิก OECD ต้องมีการรับรองตราสารกฎหมายบางประการ ทำให้ประเทศไทยมีความชัดเจน โปร่งใส และมีมาตรฐานมากขึ้น ยกระดับคุณภาพทั้งหมดและกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
นายมาริษ ระบุว่า OECD เห็นความสำคัญของไทย จึงต้องการให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งในอดีต OECD มักถูกพูดถึงว่า เป็นกลุ่มของคนรวย (Rich Man Club) ของประเทศพัฒนาแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ต้องมีการขยายกรอบความร่วมมือให้ครอบคลุมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย และประเทศอื่น และประเทศไทยเอง ก็ต้องการมีบทบาทขับเคลื่อนประเทศกำลังพัฒนา เพื่อมีสิทธิ มีเสียงกำหนดทิศทางของโลก และให้ประเทศกำลังพัฒนา สามารถกำหนดระเบียบโลกได้มากขึ้นเช่นกัน
''สิ่งที่หลายคนเคยมองว่า OECD คือกลุ่มของคนรวย ตอนนี้ไม่ใช่ กลายเป็น OECD ต้องการขยายขอบเขตการพัฒนามาตรฐานให้ครอบคลุมมากขึ้น ไทยสามารถพูดให้เขาเห็นและนำคุณค่าสำคัญอย่างมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ไปส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาเห็นความสำคัญเข้าร่วมมาตรฐานสากลมากขึ้น และประเทศกำลังพัฒนาก็มีคุณค่าและวัฒนธรรม เราจึงจะให้ OECD ต้องฟังในกลุ่มประเทศพัฒนาเช่นกัน เราเป็น Bridge Builder เชื่อมต่อไปยังกรอบความร่วมมืออีกหลายกรอบ เช่น ASEAN, BIMSTEC, APEC และ ACD ซึ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล'' นายมาริษ ระบุ
นายมาริษ ยังกล่าวถึงเงื่อนไขภายในประเทศต่อการเข้าเป็นสมาชิกของไทยว่า ไม่มีความยากลำบาก เพราะต่อให้ไม่มี OECD ไทยก็มุ่งไปสู่ความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว และต้องพัฒนา และปฏิรูปประเทศให้อยู่ดีกินดีมากขึ้น
ส่วนประเด็นระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเข้าร่วมกลุ่มตามเป้าหมาย 5 ปีของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น นายมาริษ กระทรวงการต่างประเทศช่วยผลักดันเต็มที่ และเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด แต่จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหน่วยราชการ รวมถึงภาคประชาชน
นายมาริษ ชี้แจงถึงการสมัครเข้าร่วมกลุ่ม BRICS พร้อมกับกระบวนการเข้าร่วม OECD ว่า สามารถทำได้เลย และตนเอชี้แจงหลายครั้งแล้วว่า การเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่แค่ BRICS หรือ OECD และเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลที่นางสาวแพทองธารนั้น มองความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ไม่ได้เป็นการรวมกลุ่มทางการเมือง และไทยมองกรอบต่าง ๆ เป็นเวทีเพื่อส่งเสริมประเทศสมาชิกได้มีโอกาสมานั่งถกเถียงกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่นำไปสู่การแบ่งแยกกลุ่มการเมือง
นายมาริษ ยังตอบชี้แจงถึงความคืบหน้าการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ว่า ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ ซึ่ง BRICS มีขั้นตอนเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนต่อไป แต่เท่าที่ทราบนั้น เป็นข่าวจากสำนักข่าว จึงยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำว่า ไทยต้องการเป็นสมาชิกแน่นอน และเร็วที่สุด แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับขั้นตอน ซึ่งต้องเคารพขั้นตอนต่าง ๆ ที่มีไม่ว่าเป็นหุ้นส่วนหรือสมาชิก