ตอนนี้พรรคสีน้ำเงิน"ภูมิใจไทย"บารมีเบ่งบานคลุมทั้งครม.และสภาสูง เเละท้องถิ่นหลานเเห่งจนมีเสียงลอดให้ได้ยินว่าหากจะเจรจาใดๆอย่าลืมไปพบ"ครูใหญ่ค่ายนี้"ด้วย เพราะบุรุษหมายเลขหนึ่งของค่ายภท.นั้นยามนี้แรงร้อนไม่แพ้บิดาของสร.1คนปัจจุบัน
กระแสข่าวนี้ไม่ผิดความจริงเพราะมีการตอกย้ำว่าเบอร์หนึ่งพรรคสีน้ำเงินได้เสวนากับนายใหญ่แห่งพท.แล้วและควรลืมวรรคทองในวันวานว่า "มันจบแล้วครับนาย" ไปได้เลย เพราะการเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าของ"เนวิน ชิดชอบ"ที่ไปพบ"ทักษิณ ชินวัตร"ในรอบสิบกว่าปี ซึ่ง "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคสีน้ำเงินและมท.1ในรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร" ออกมายืนยันเองนั้นมันน่าจะมีอะไรที่มาก กว่าเจ้านายเก่าคุยกับอดีตลูกน้องที่ไม่ได้พบพานกันนานนม.....
สองพรรคนี้เเม้เป็นมิตรร่วมเรือลำเดียวกันเเต่อย่าลืมว่าหลายสนามก็ฟัดกันเเรง เลือกตั้งสส.งวดที่เเล้วเเคมเปญ"ไล่หนู ตีงูเห่า"ของพท.ดักทางภท.ไว้ได้บ้างเเละรอยเเค้นเวทีสว.ซึ่งคนของพท.เช่น ”สมชาย วงศ์สวัสดิ์“ตกรอบเเบบงงทั้งบางเพราะกลเกมที่ภท.วางไว้เเละพท.ชะล่าใจ
จนตอนนี้ภท.ขึ้นเเท่นคุมสภาสูง/ขี่คอรัฐบาลชุดนี้เเบบชิลล์ๆ เเละเห็นว่าหลายนโยบาย/ร่างกฎหมายหลายฉบับหากภท.ไม่เล่นด้วยก็ดึงเบรคมือกันซึ่งหน้าจนพท.ปรับเกมไม่ทัน
ดังนั้น"พท."ยามนี้ต้องง้อ"ภท."เเบบเลี่ยงไม่ได้เเม้ต้องกลืนเลือด/ปั้นสีหน้าเชิงผูกมิตรไว้ก่อน
เเต่สองพรรคนี้กลับมีจุดตายในลักษณะเดียวกัน....
อย่าลืมว่า วันนี้"นายใหญ่แห่งจันทร์ส่องหล้า"มีบาดแผลที่ลามไปยังสร.1คนปัจจุบันที่อาจส่งผลให้หลุดเก้าอี้คือ"สนามกอลฟ์อัลไพน์" ส่วนครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงินก็มีกรณี"ที่ดินเขากระโดงจ.บุรีรัมย์" ที่เป็นตราบาปจนวันนี้
ย้อนไปช่วงต้น ปี 2567คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโยกย้ายข้าราชการ ประเภทบริหาร ระดับสูงในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวม 10 ตำแหน่ง โดยในตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินนั้นได้ว่างลง เนื่องจากการลาออกของอธิบดีกรมที่ดินคนเดิม คือ"ชยาวุธ จันทร"โดยมีการเสนอพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รับตำแหน่งแทน
ตอนนั้นมีกระแสข่าวว่า"ชยาวุธ"ไขก๊อกนั้นเพราะไม่อยากฝืนทำตามคำสั่งจากฝ่ายการเมืองในกรณี"ที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์"ที่คาราคาซังมาหลายสิบปีและสิ่งที่สังคมจับตาคือ‘โฉนด-น.ส.3 "ตระกูล ชิดชอบ" 20 แปลง 288 ไร่ ทับที่ดิน "เขากระโดง" จะออกหัวหรือก้อย และตอนนี้กรณีนี้ยังนิ่งอยู่
และบวกกับเคส"สนามกอลฟ์อัลไพน์"ซึ่ง กฤษฎีกา ยืนยันว่า "เป็นที่ธรณีสงฆ์ มิอาจซื้อขายได้นั้น" ตอนนี้ตระกูลชินวัตรคือผู้ครอบครองและสร.1เพิ่งโอนหุ้นเหล่านี้ให้มารดารับไปถือครองแทนและกำลังโดนข้อกฎหมายในการจัดการแพทองธาร/พรรคเพื่อไทยให้พ้นวงจรการบริหารราชการแผ่นดินและเวทีการเมือง
ที่ดินสองเเปลงที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรตามหลอนหลอก"นายใหญ่แห่งจันทร์ส่องหล้า"และ"ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน"นั้น จะออกมาอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้พรรคสีน้ำเงินคุมกระทรวงคลองหลอด(หนึ่งรมว.และสองรมช.)
โดยกรมที่ดินนั้น มท.2 "ทรงศักดิ์ ทองศรี" สส.บัญชีรายชื่อ ภท.นั่งบัญชาการ และอย่าลืมว่า"ทรงศักดิ์"แนบแน่นกับ"ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน" เพียงใด เพราะ"เสี่ยป้อม"เป็นสส.บุรีรัมย์และบัญชีรายชื่อรวมเก้าสมัย และเคยทำงานเป็นรมช.คมนาคมในยุคพรรคพลังประชาชน/รมช.มหาดไทยรวมสามครั้ง(ครม.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา/ครม.เศรษฐา ทวีสิน/ครม.ปัจจุบัน)
ดังนั้นบารมีเสี่ยป้อมแห่งบุรีรัมย์นั้นต้องมีไม่น้อยกว่าครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงินและหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน
ยามนี้"เสี่ยป้อม"คือรมช.มหาดไทยกำกับดูแลกรมที่ดิน และอย่าลืมว่าเสี่ยป้อมเป็นใคร.... ซึ่งเป็นไปได้มากว่าในวันข้างหน้าอาจมีนโยบายเอื้อเฟื้อให้ที่ดินสองผืน(เขากระโดงและสนามกอลฟ์อัลไพน์)ออกมาเป็นคุณแก่ผู้ถือครอง.....
ผู้สันทัดทางการเมือง. อ่านเกมว่า หนึ่งในหัวข้อสนทนาของ"ทักษิณ"และ"เนวิน"นั้นไม่ต้องคิดไปไกลเลยว่า หาก"นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า" อยากถอดระเบิดให้สร.1ใน"กรณีสนามกอลฟ์อัลไพน์"และ"ครูใหญ่ค่ายภท."อยากให้"เขากระโดง"จบปัญหาการเจรจาของ"สองบิ๊ก"ต้องเริ่มขึ้นและจบลงอย่างแฮปปี้ (แต่ที่แน่ๆนั้น เซียนการเมืองชี้ว่า ครูใหญ่ขี่คอนายใหญ่ไปอีกชั้นหนึ่งจากกรณีนี้)
ฉะนั้น..การเจรจาลับของสองบิ๊กคราวนี้จะแฮปปี้ดั่งที่วาดฝันหรือไม่นั้น..ต้องติดตามเพราะหากมีการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้ผู้ถือครองที่ดินสองแปลงนี้พ้นมลทิน ระเบิดการเมืองจุดติดแน่นอนจากฝีมือประชาชนและองค์กรอิสระที่จะเช็กบิลฝ่ายการเมืองให้หมดสิทธิทางการเมืองตลอดชีพ-ดีไม่ดีมีคดีอาญาติดตัวไปด้วย