:: นายกฯ ปักธงนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ - ปรับโครงสร้างหนี้ ดึงเงินนอกระบบภาษี-เศรษฐกิจใต้ดิน-กระตุ้น ศก. ::
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายของรัฐบาล ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ระหว่างวันที่ 12 ถึง 13 กันยายนนี้ โดยย้ำว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาของประชาชน ดังนั้น รัฐบาล จะเร่งสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ด้วยการแก้หนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาที่กระทบความมั่นคงของสังคม ผ่านนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล ได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบ, การดูแลและส่งเสริม พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติในแพลตฟอร์มออนไลน์, การออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค พร้อมผลักดันการพัฒนาขนส่งสาธารณะ และกำหนดค่าโดยสารร่วมในพื้นที่กรุงเทพฯเพื่อรองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง, การสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษี, การกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ
:: นายกฯ ย้ำเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต - ผลักดันสถานบังเทิงครบวงจร ::
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึงนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน, การยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัยผ่านแนวคิด " ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร, การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการปรับโครงสร้างการตรวจลงตาทั้งหมดของประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจร, การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร, การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ รวมไปถึงอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ,และการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการทางสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจแก่กลุ่มเปราะบาง
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนและสังคมให้ความสนใจ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ความเชื่อมั่นว่า นโยบายดังกล่าวจะเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับเงินดังกล่าว ซึงคาดว่า จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพได้ และยังเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่ไปในคราวเดียวกัน
:: นายกฯ ให้คำมั่นบริหารราชการด้วยความซื่อสัตย์ สร้างโอกาสคนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ::
นายกรัฐมนตรี ยังขอให้ความมั่นใจกับรัฐสภาว่า จะมุ่งมั่นตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งประสานพลังจากทุกภาคส่วนจากทุกช่วงวัย ทุกความเชี่ยวชาญขับเคลื่อนนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ให้ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบันให้สำเร็จ พัฒนาเศรษฐกิจสังคมการเมืองของประเทศให้เจริญก้าวหน้า เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจกลับสู่คนไทย และประเทศไทย เพื่อสร้างความหวัง และอนาคตที่ดีกว่า ให้กับประเทศไทยจากวันนี้ไปถึงอนาคต
:: "ณัฐพงษ์" ฉะ! นโยบายรัฐบาลไม่ตรงปกหาเสียง เย้ย 3 ปีที่เหลือจะเจ๊า/เจ๊ง - ตั้งข้อสังเกตนโยบายเอื้อนายใหญ่-นายหน้า-นายทุน ::
ขณะที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งข้อคำถามถึงความเป็นรูปธรรมของนโยบายรัฐบาล เพราะนโยบายสวัสดิการสังคม ไม่เป็นไปตามการหาเสียง และนโยบายชุดที่ผ่านมา เช่น เงินอุดหนุนเด็ก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนคนพิการ รวมถึงการแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยไม่มีความมั่นคงในชีวิต พร้อมยังเห็นว่า 3 ปีจากนี้ ของรัฐบาลจะเป็นบทพิสูจน์ว่า จะเจ๊า หรือจะเจ๊ง
นายณัฐพงษ์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อนโยบายเรือธงของรัฐบาล ที่อาจมีเป้าหมายเป็นเรือธงให้ 3 นาย คือ นายใหญ่ นายหน้า และนายทุน ทั้งนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็นนโยบายให้นายใหญ่, นโยบายสถานบังเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีข้อสงสัยถึงการเปิดกว้าง หรือล็อกการประมูลเพื่อเอื้อนายทุน และโครงการแลนบริดจ์ ที่ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเวนคืน เอื้อให้นายหน้าค้าที่ดิน
:: ศิริกัญญา เย้ยนโยบาย "รัฐบาลอิ๊งค์" สุดจาง-รายละเอียดโครงการหายเพียบ – จี้นายกฯ แจงให้ชัด “ดิจิทัลวอลเล็ต” – ปลุกใจ “แพทองธาร” เป็นดาวฤกษ์ พิสูจน์ความเชื่อมั่นชี้แจงนโยบายส่องสว่างด้วยตัวเอง ::
ขณะที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เห็นว่า นโยบายของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ที่เคยระบุหรือดำเนินการมาในรัฐบาลนายเศรษฐา ยังมีความเลื่อนลอยและจาง ห่างไกลคำหาเสียง และยังมีข้อสงสัยว่า จะดำเนินการต่อหรือไม่ ทั้งการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, เงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และโดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต ที่รายละเอียดในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลหายไป จึงทวงถามรัฐบาลว่า ประชาชนจะยังคงได้เงิน 10,000 บาทหรือไม่
นางสาวศิริกัญญา ยังตั้งข้อสงสัยต่อนโยบายของรัฐบาล ที่มีความคล้ายคลึงกับการแสดงวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงานเนชั่นทีวี ดินเนอร์ทอล์ก เมื่อ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า มีความตรงกันถึง 11 นโยบาย จาก 14 ประเด็นวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ที่เหมือนระดับ Mirror AAA Plus เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ, การดึงเม็ดเงินจากเศรษฐกิจใต้ดิน ซึ่งมีความเหมือนกันจนตนเองเชื่อว่า น่าจะมีปัญหาถึงความรับผิดรับชอบว่า สรุปแล้วใครเป็นคนกำหนดนโยบายตัวจริง และจะต้องเชื่อใครเป็นต้นทาง ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การประชุมคณะรัฐมนตรี อาจเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะเรื่องสำคัญ ๆ อาจถูกตัดสินใจมาแล้วจากที่อื่น และทำให้ไม่ทราบได้ว่า สุดท้ายแล้วใครคือตัวจริง ดังนั้น จึงอยากเห็นนายกรัฐมนตรี ที่สามารถสร้างความเชื่อถือ สร้างความมั่นใจกับประชาชนได้ว่า จะสามารถดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาได้เองจริง จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงรายละเอียดโครงการ และนโยบายต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพราะต้องการเห็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นดาวฤกษ์ ส่องสว่างได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นดวงจันทร์
นางสาวศิริกัญญา ยังต้องการความชัดเจนของรัฐบาลในการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยแถลงจะแบ่งจ่าย 2 งวด และในวันที่ 15 กันยายนนี้ ก็จะครบกำหนดวันลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์แล้ว และรัฐบาล จะใช้เงินจากแหล่งใด และจะแจกเป็นเงินสด หรือจะยังคงแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต และจะแจก 10,000 บาทหรือไม่ พร้อมแนะนำให้รัฐบาล ได้ตั้งสติต่อโครงการเรือธงของรัฐบาล และเชื่อว่า น่าจะมีมือที่มองไม่เห็น คอยสั่งการว่า จะดำเนินนโยบายให้ได้ ทั้งที่ไม่ทราบกฎหมายที่เปลี่ยนไปในรอบ 20 ปี และไม่ทราบฐานะการคลังของประเทศ จนกลายเป็นการเมาหมัด จ่ายตามที่เท่ามีเงิน หรือแจกเป็นเงินสด และไปตายเอาดาบหน้า จนสุดท้ายไม่เหลือความเชื่อมั่น พร้อมยังโทษฝ่ายค้าน ที่ทำให้โครงการต้องเปลี่ยนไปมา ทั้งที่สิ่งที่ฝ่ายค้านนำเสนอ เป็นข้อเท็จจริง และเป็นไปตามข้อกฎหมาย ทั้งการไม่สามารถกู้เงินได้, การใช้งบประมาณข้ามปีผ่านการลงทะเบียนของประชาชน จนสุดท้ายมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และไม่มีใครกล้าปล่อยให้เสี่ยงผิดกฎหมายอีก จนทำให้ 1 ปีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา เป็นการสูญเปล่า และพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ก็ได้อ่อนไปพร้อมกับความเชื่อมั่นของรัฐบาล
:: สส.-สว. เสียงแตกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ::
ส่วนนโยบายสถานบังเทิงครบวงจรนั้น สส. และ สว.ยังมีความเห็นที่หลากหลาย ส่วนหนึ่ง เห็นว่า จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และควรให้รัฐ เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด เพื่อนำรายได้เศรษฐกิจใต้ดิน กลับขึ้นมาเป็นรายได้ของรัฐทั้งหมด เพื่อนำไปช่วยประชาชนต่อไป แต่ส่วนหนึ่ง ยังไม่เห็นว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์ใดจากโครงการดังกล่าว และยังทำให้เกิดปัญหาสังคม
“ประเด็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ขัดข้อง ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ไทย สิ่งที่เคยหลบ ๆ ซ่อน แต่เรามองเห็นจนชินตา ซึ่งต้องจ่ายส่วยใต้โต๊ะ ให้นำมารวมกัน และเอาขึ้นมาบนดิน เป็นแหล่งบันเทิงที่ควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าเราจะทำจริง ๆ ทำไมไม่ให้รัฐเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมด เอารายได้จากเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาเป็นรายได้ของรัฐทั้งหมด ไปช่วยคนยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก ทำให้คนไทยมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไปด้วยกัน” กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปราย
“มีผลศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออกที่สร้าง แต่เปิดไม่ได้ และกลายเป็นเมืองร้าง หรืออย่างประเทศทางใต้ของประเทศเรา มีโครงการสร้างจนเสร็จและเปิดแล้ว แต่ไม่ผู้เช่าพื้นที่ เพราะเศรษฐกิจมีปัญหา เรื่องเร่งด่วนสำหรับโครงการนี้ไม่น่าใช่ ดังนั้น ขอให้รัฐบาลปรับรูปแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคม ลดความขัดแย้ง หรือทำให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด เพิ่มกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดกรพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติ” ขวัญชัย แสนหิรัณย์ สมาชิกวุฒิสภา อภิปราย
:: พปชร.ซัดกันเองกลางสภา! "เด็กลุงบ้านป่า" ฉะ! ครม.หวังผลไม่ได้ ตระบัดสัตย์ - "เด็กผู้กอง" เย้ยถ้าย้อนไป 2 อาทิตย์ก่อนคงเห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล ::
ขณะที่ การอภิปรายของ สส.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถูกพรรคเพื่อไทย ขับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร พรรคพลังประชารัฐ ในกลุ่มพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ ได้อภิปรายเสียดสีคณะรัฐมนตรีว่า เป็นเสมือนเหล้าเก่า ในขวดใหม่ มีพ่อแทนลูก หรือลูกแทนพ่อ หรือมีน้องแทนพี่ ไม่สามารถหวังผลได้ ทั้งนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่เป็นนโยบายของคนชั้นนำ และกลุ่มทุนขนาดใหญ่ รวมถึงยังตั้งคำถามว่า นโยบายแจกเงินหมื่น รัฐบาลได้วางแผนไว้ดีแล้วหรือไม่
นายชัยมงคล ยังเสียดสีรัฐบาลว่า ภาพที่ประชาชนรับรู้ คือ การตระบัดสัตย์ เพราะ สส.พรรคพลังประชารัฐ ได้สนับสนุนนางสาวแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี 39 เสียง แต่กลับต้องมาเป็นฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองที่งดออกเสียง กลับได้เป็นรัฐบาล
อย่างไรก็ตามระหว่างที่นายชัยมงคล อภิปรายนั้น นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น สส.ในกลุ่มร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของนายชัยมงคล ที่ผิดข้อบังคับ เสียดสีซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า พร้อมยังเห็นว่า หากย้อนไป 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา นายชัยมงคล คงเห็นด้วยกับการแถลงนโยบายครั้งนี้
ก่อนที่ นายชัยมงคล จะตอบโต้ว่า ตนเองทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาล และตนไม่อยากให้รัฐบาลชุดนี้ เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ อาศัยมือประชาชน อ้างประชาธิปไตย แต่กอบโกยผลประโยชน์แบบตะกละตะกลาม มูมมาม