1 ในรายชื่อที่ถูกตั้งคำถามว่าอาจจะได้คนไม่ตรงตามหน้าที่ คือ โผ รมต. กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งปรากฎชื่อของ "บิ๊กอุ้ม" พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. มานั่งเก้าอี้ของเสมา 1 ซึ่งสาเหตุที่ถูกจับตามอง ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากการส่ง “ตำรวจ” มาเป็นครูใหญ่ของประเทศ อีกส่วนหนึ่งคือถูกมองว่ามา เป็นการเข้ามาในไลน์แผงอำนาจการเมือง เพราะมีนามสกุล “ชิดชอบ”
หากย้อนไปดูพื้นเพที่มาของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ เขาเป็นบุตรชายของ นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา และยังเป็นน้องชายของ นายเนวิน ชิดชอบ รวมถึงเป็นพี่ชายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
ในแวดวงสีกากี รู้จักกันดีว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน มีเส้นใหญ่ในสายตำรวจพอตัว เติบโตในชีวิตราชการ จนได้ติดยศ พล.ต.อ.ก่อนเกษียณ และกำลังจะได้เป็นรัฐมนตรี ถูกมองว่าได้ดีเพราะมีพี่ดัน เพราะเป็นน้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
โดยครั้งหนึ่ง นายชัย ชิดชอบ เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ถามว่า “อยากให้ลูกคนไหน เป็น สส.บ้าง” ซึ่งนายชัยตอบว่า “ไม่มีแล้ว ไม่มีใครเป็นแล้ว เนวิน เขาก็ไม่เป็น สส.แล้ว มีแต่ใครจะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ก็เป็นแล้ว ส่วนอีกคน พล.ต.ท.เพิ่มพูน (ยศในขณะนั้น) ก็เป็นนายพล เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
เส้นทางสายตำรวจ
พล.ต.อ.เพิ่มพูน ไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่จบนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง รับราชการตำรวจ ตั้งแต่ปี 2527 ที่สำนักงานเลขานุการ กรมตำรวจ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ แต่น่าสังเกตว่าจังหวะชีวิตในการรับราชการตำรวจ พอการเมืองเปลี่ยนขั้ว ก็โดนสกัดไปด้วยเช่นกัน
ยุครัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ เป็นผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 2 จเรตำรวจ
ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง กทม.
ยุค “ยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์” ถูกเด้งจาก ตม.ไปเป็นอำนวยการจเรตำรวจ
ยุค “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นจเรตำรวจ (สบ.8) ก่อนขยับมารับตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฤดูกาลโยกย้าย 2562
และปี 2564 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ เกษียณอายุราชการ
แต่ประเด็นที่ทำให้ชื่อของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน เป็นที่สนใจของสังคม คือช่วงคดีของ บอส วรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เนื่องจากมีประเด็นอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง บอส วรยุทธ ในข้อหาเมาแล้วขับ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการสั่งคดีของตำรวจและอัยการ
ซึ่ง พล.ต.อ.เพิ่มพูน มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นผู้ลงนามแทน ผบ.ตร. ในการไม่เห็นแย้ง จนทำให้คดียุติลงทันที
โดยเรื่องนี้ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งตั้งกรรมการสอบการสั่งคดีดังกล่าว มีนายตำรวจเกี่ยวข้องร่วม 16 นาย รวมถึง พล.ต.อ.เพิ่มพูนด้วย
สุดท้ายผลการพิจารณาออกมาว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูนเพียงคนเดียว ที่รอดพ้นข้อครหา โดยคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูนไม่มีความบกพร่องในการสั่งคดีโดยไม่แย้งความเห็นอัยการ เนื่องจากการพิจารณาจะต้องพิจารณาตามข้อมูลและหลักฐานภายในสำนวนตามที่อัยการส่งมาเท่านั้น ไม่สามารถนำหลักฐานใหม่มาพิจารณาได้ และการพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญตามกฎหมายแต่ละชั้น ก่อนประมวลเรื่องมาถึง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ก็ไม่มีการเสนอความเห็นแย้งแต่อย่างใด พล.ต.อ.เพิ่มพูน จึงมีความเห็นทางคดีพ้องตามอัยการ
ครั้งนั้น “พล.ต.อ.เพิ่มพูน” เปิดเผยถึงกรณีในการไม่เห็นแย้งว่า “ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ทำตามปกติ ไม่มีอะไรเลย”
โจทย์ท้าทาย จาก "รั้วปทุมวัน" สู่ "รั้วเสมา"
ครั้งนี้ เมื่อปรากฎชื่อของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ตามโผ ครม.ว่าจะเข้ามา นั่งเก้าอี้ เสมา 1 นอกจากจะเป็นโจทย์ยากที่มีความท้าทายในการทำงานรออยู่ เสียงสะท้อนจากครูทั่วประเทศ ที่มีไปถึง "ว่าที่" เจ้ากระทรวงคนใหม่ ว่าอยากให้เข้าใจปัญหาในระบบการศึกษาของไทยที่สะสมมานาน และให้เข้ามาเร่งผลักดันด้านการศึกษาให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดงานเอกสาร แล้วคืนครูสู่ห้องเรียนให้ได้ แก้หลักสูตรที่ล้าหลัง ฯลฯ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตาว่า หากเป็นไปตามโผ ครม. จริง พล.ต.อ.เพิ่มพูน จะสามารถทำหน้าที่และสร้างผลงาน ให้ประจักษ์ และลบคำครหา ว่า “ได้ดี เพราะพี่ดัน” ได้หรือไม่