17 กรกฎาคม 2566 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ คณะก้าวหน้าให้สัมภาษณ์กับ "เนชั่นทีวี" ถึงมุมมองบทสรุปของพรรคก้าวไกลต่อจากนี้จะไปทางไหนอย่างไรว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก้าวไกลได้มาถึง 151 ที่นั่ง ดังนั้นจึงมีความชอบธรรมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี ตามระบบปกติที่ออกแบบกันมา โดยเมื่อรวมเสียงได้ 8 พรรคแล้ว ก้าวไกลก็จะต้องเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล แต่พอเป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากกลไกที่มีส.ว.250 คน ก็นับเป็นเรื่องยากมากยิ่งขึ้น
โดยมุมมองของตนที่มองจากข้างนอก มองว่าที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้พยายามถอยหลายเรื่อง เช่น MOU 8 พรรคร่วม ก้าวไกลก็ยอมถอยหลาย โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ที่พรรคร่วมอื่นๆไม่เอาด้วย อย่างเช่น การแก้ไขม.112 รวมถึงเก้าอี้ประธานสภา ก็ถอยให้ และพอถึงเวลาเวลาแบ่งกระทรวง เชื่อว่าก้าวไกลก็จะยอมถอยให้อีกเช่นกัน ดังนั้นจะมาบอกว่า ก้าวไกลไม่ถอยเลยก็ไม่ใช่ แต่การถอยมีบางเรื่องที่ถอยไม่ได้ เพราะได้ไปรณรงค์หาเสียงไว้แล้ว
“ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะเอาประเด็นเหล่านี้ไปปะปนกับการเลือกนายกฯทำไม เพราะเดี๋ยว ส.ส.349 คนที่เหลือก็ไปโหวตคว่ำในขั้นตอนที่ก้าวไกลเสนอในสภาฯ”
นายปิยบุตร เชื่อว่า ส.ส. ก้าวไกล รู้ว่าถ้าเสนอแก้ไข ม.112 ไปในสภาฯก็จะตกตั้งแต่วาระแรก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเอาไปปะปน กับการเลือกนายกฯ อยากให้พูดตรงไปตรงมากเลยดีกว่าว่าจะไม่ให้นายพิธา เป็นนายกฯ และไม่ให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพราะเรื่องแก้มาตรา 112 เชื่อว่าจะตกในขั้นตอนของสภาฯแน่นอน แต่จะไม่ให้เขาทำในสิ่งที่หาเสียงไว้คงเป็นไปไม่ได้
ส่วนอนาคตหรือบทสรุปก้าวไกลจะไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่นั้น นายปิยบุตร บอกว่า อยู่ที่กรรมการบริหารพรรค และส.ส. จะตัดสินใจกันอย่างไร แต่ในมุมผมคือ ถ้าคุณสู้จนถึงที่สุดแล้ว ไปไม่ได้ก็คือไม่ได้ ถือว่าสุดทางแล้วก็ ต้องยอมรับ ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้หรือรู้สึกผิด เพราะคุณกำลังทำให้สังคมไทยเห็นว่า มีพล็อตเรื่องเดียวกันคือ เขาจะไม่ให้พิธาเป็นนายกฯ และไม่ให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล