23 พฤษภาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่สืบเนื่องจากการลงนาม MOU เมื่อวานนี้(22พ.ค.) ว่า เป็นแค่การทำงานในวาระร่วมกัน 23 ข้อ ของพรรคร่วมในขั้นต่ำ แต่ยังมีวาระเฉพาะของของพรรคก้าวไกลกว่า 300 นโยบายที่หาเสียงไว้ และพรรคก้าวไกลก็จะพยายามผลักดันต่อให้เป็นไปได้ โดยจะผลักดันผ่าน 2 กลไก คือ กลไกการบริหาร ในฐานะที่ตนเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ก็จะมีอำนาจในการบริหารจัดการให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด และอำนาจรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลที่จะอยู่ในกระทรวงต่างๆ ในการผลักดันวาระที่อาจจะไม่ได้อยู่ใน MOU แต่อยู่ในนโยบาย 300 ข้อของพรรคก้าวไกล
ทั้งนี้หากพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นเจ้ากระทรวง ก็ยังประสานงานกับรัฐบาลร่วม ในการพูดคุยเจรจาให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงผลักดันนโยบายของพรรคเราได้ แต่อีกหลายเรื่องก็เป็นเรื่องของนิติบัญญัติ โดยเฉพาะ 45 กฎหมายที่เราได้สัญญากับประชาชนไว้ เนื่องจากเรามีส.ส. 152 คน ก็สามารถผ่านกฎหมายเพื่อให้เกิดการถกเถียง และให้เกิดกรรมาธิการเพื่อให้ผ่านสภาเป็นกฎหมาย มีอำนาจรองรับ เช่น พ.ร.บ.น้ำประปาสะอาด พ.ร.บ.รับรองคำหน้าอัตลักษณ์ทางเพศ เป็นต้น ถึงแม้เรื่องดังกล่าวจะไม่อยู่ในวาระร่วมของรัฐบาล แต่ก็มีหลายกฎหมายที่เราสามารถผลักดันได้ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เราได้สัญญาไว้ให้กับประชาชน
ทั้งนี้ การที่มีเอ็มโอยู 23 ข้อ เป็นวาระร่วมแค่ขั้นต่ำ แต่ในขณะเดียวกันหลายประเด็นที่อาจจะทำให้ประชาชนต้องลำบาก และต้องการความเปลี่ยนแปลงผ่านกฎหมายที่ก้าวหน้า และการบริหารงานของพรรคก็จะมีวาระเฉพาะที่สามารถผลักดันได้เช่นเดียวกัน
นายพิธา บอกถึงขั้นตอนต่อไปหลังจากลงนาม MOU แล้วว่า คงต้องเป็นการเดินสาย พบพี่น้องประชาชนกลุ่มต่างๆ ขณะที่คณะกรรมการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลก็ไม่ได้มีเพียงพรรคก้าวไกล ในการพบปะหารือครั้งต่อไปจึงจะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลมาฟังปัญหาจากผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อจัดทำนโยบายรวมแถลงต่อรัฐสภา และนำเอาผู้มีความรู้จริงมาบริหารกระทรวงที่เหมาะสม ส่วนตำแหน่งของกระทรวงเศรษฐกิจนั้น ก็จะต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่าจะสามารถคืนความมั่นใจของนักลงทุนได้อย่างไร เนื่องจากหลังเลือกตั้งหุ้นตกลงอย่างต่อเนื่อง นายพิธา ระบุว่า สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้ไม่ใช่เรื่องศักยภาพของประเทศ แต่เป็นความผันผวนทางการเมือง เพราะเท่าที่ผ่านมา เคยมีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งแต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่แน่นอน จึงต้องเร่งสร้างความมั่นใจว่าระบบการเมืองมีความแน่นอน สะท้อนเจตจำนงของประชาชน จึงจะสามารถคืนเสถียรภาพของการลงทุนกลับมาได้
ส่วนกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โต้แย้งบางประเด็นในเนื้อหา MOU โดยเฉพาะข้อห่วงใยเรื่อง ม.112 นายพิธา ระบุว่า เข้าใจความกังวลใจของ นายปิยะบุตร แต่ข้อความก็คือข้อความ ส่วนเนื้อหาใน MOU ก็สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่าสาเหตุที่การแถลงข่าวเมื่อวานนี้ ล่าช้ากว่ากำหนด ก็มีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วน รวมถึงตัดประเด็นนิรโทษกรรมออกใช่หรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ไม่ใช่แค่นั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ล่าช้า รวมถึงประเด็นกัญชาที่ต้องมาแก้ในวินาทีสุดท้าย