จากกรณีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัย กับนายชัยยศ สุขต้อ อดีตครูโรงเรียนบ้านยางเปา อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ กรณีเป็นกรรมการตรวจรับอาหารกลางวัน ที่พบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จนถูกปลดออกจากราชการ ต่อมามีดรามาการถูกปลดออกจากราชการดังกล่าว สืบเนื่องจากการที่นายชัยยศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมตรวจรับอาหารกลางวัน นำอาหารในส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาแบ่งให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นรับประทาน เป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบไม่เป็นตามระเบียบ
8 ธันวาคม 2566 นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการ รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักงาน ป.ป.ช. ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้แจงว่า เรื่องการบริหารจัดการหาอาหารให้เด็กประถมเพียงพอต่อโภชนาการแล้ว ครูสามารถบริหารจัดการไปให้พี่มัธยม หรือภายในโรงเรียนได้ เพราะครูไม่ได้เอาอาหารกลับไปที่บ้านไปเป็นประโยชน์ส่วนตนถือว่าดำเนินการได้ ไม่มีความผิด
แต่ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลไม่ใช่ประเด็นนี้ แต่ได้ลงไปตรวจสอบเพราะมีคนส่งหนังสือมาที่ ป.ป.ช. ว่า การจัดหาอาหารมาให้กับนักเรียนประถม ไม่คุ้มค่า เด็กกินซี่โครงไก่ต้มฟัก และวัตถุดิบที่ใช้ ยกตัวอย่างแผงไข่ ก็เป็นไข่คอนโดตรงกลางกลวงไม่มีไข่ นี่คือพยานหลักฐานเบื้องต้นที่มีผู้ส่งมา และยังมีการพูดแซวเรื่องเด็กเส้น เพราะกินแต่มาม่า
ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช. รับเรื่องมาแล้วตรวจสอบคำกล่าวหาเบื้องต้นแล้ว พบว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ กรรมการ ป.ป.ช.จึงตั้งกระบวนการไต่สวน และเมื่อตั้งเรื่องการไต่สวนลงไปแล้วพบว่า "กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีปัญหา" โดยเรื่องนี้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และระเบียบที่เกี่ยวข้อง แต่ไปใช้ลักษณะยืมเงินมาทำโครงการ โดยในการไปยืมเงินมาจัดซื้อจัดจ้าง ก็ต้องเข้าสู่กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้าง หากราคาเกิน 500 บาท จะต้องออกใบเสร็จ
แต่กรณีนี้มีการพยายามที่จะเขียนเหตุผลว่า ไม่เข้าเหตุที่จะต้องออกใบเสร็จ ทาง ป.ป.ช. ก็ลงไปสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องว่าทำไมผู้ไปจ้างในการจัดหาอาหารสด อาหารแห้ง ทำไมถึงไม่ไปขอใบเสร็จจากร้านค้า ซึ่งได้รับคำตอบว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แจ้งว่า ไม่ต้องไปขอใบเสร็จจากร้านค้า ก็ทำให้เป็นข้อพิรุธ
นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังลงไปสอบร้านค้าในพื้นที่ว่ามีศักยภาพในการออกใบเสร็จหรือไม่ ซึ่งร้านค้าก็มีศักยภาพในการออกใบเสร็จ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อสินค้าในเมืองแล้วเข้ามาที่ตัวอำเภอ เพราะในตัวอำเภอก็มีสินค้าขายอยู่แล้วและมีศักยภาพที่จัดหาได้
ในส่วนการทำเรื่องยืมกรณีนี้ คือ ยืมครั้งละ 60,000บาท ทั้งหมด 15 สัปดาห์ ซึ่งหากยืม 60,000 บาท จะต้องไปซื้อให้ครบ ถ้าสมมติว่าต้องซื้อเกินเงินยืมก็ให้เขียนมาในใบเสร็จได้ แต่กรณีนี้ พบข้อพิรุธคือ
เขาไปสั่งให้คนที่ไปซื้อของที่มารับจ้างจัดหาอาหารสดอาหารแห้งว่า อย่าซื้อเกิน 47,500 บาท แต่ในการนำเอกสารมาหักล้าง เขาพยายามจะทำให้ลงตัวที่ 60,000 บาท ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าได้ดำเนินการจัดซื้อไป 60,000 บาทต่อครั้ง และก็ได้มีการสอบถามว่าเงินส่วนที่เหลือ ใช้ไปอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า บางครั้งก็สั่งให้ไปซื้ออาหารสดเพิ่ม แต่ไม่มีใบเสร็จว่าซื้อไปเท่าไหร่ จึงไม่มีหลักฐานใดมาหักล้างเพราะนี่เป็นเงินงบประมาณ
และมีการดำเนินการถึง 15 ครั้ง ซึ่งหากทำตามระเบียบก็ไม่มีปัญหา และเมื่อไม่ทำตามระเบียบก็ถือเป็นข้อพิรุธ ที่มีเงินงบประมาณหายไปต่อครั้งหมื่นกว่าบาท
ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจรับของต้องอยู่ในมูลค่า 60,000 บาท และเมื่อมีการนำเงินมาเบิกกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีการเขียนวงเงิน 60,000 บาท ซึ่งทำให้ไปค้านกับคนที่จัดซื้อว่า สั่งให้ไปซื้อในงบประมาณ 47,000-48,000 บาท ซึ่งเป็นความขัดแย้งกัน
นายภูเทพ ยังชี้แจงอีกว่า ครูชัยยศ ไม่ได้ผิดต่อหน้าที่ แต่ถูกชี้มูลความผิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คือ ครูมีหน้าที่สอน แต่เมื่อเป็นข้าราชการอยู่ในโรงเรียน ครูได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ต่างๆ กรณีนี้ครูได้รับแต่งตั้งในการเป็นกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง คือตรวจรับอาหารแห้งอาหารสดที่เขามาส่ง
หากคุณครูตรวจครบก็จะพบข้อพิรุธว่า อาหารมาไม่ครบ และที่สำคัญเขามาส่งอาหารสดสัปดาห์ละครั้ง แต่ครูชัยยศ ไปเซ็นตรวจรับวันละ 3 รอบได้อย่างไร เพราะพยานบุคคลยืนยันว่า เขามาส่งอาหารสดสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งเอกสารสัปดาห์ละ 1 ใบ นี่จึงเป็นสิ่งที่ครูชัยยศ ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ส่วนกรณีกระแสสังคมที่มองว่าครูบริหารดี เอาอาหารมาแบ่งปันให้เด็กมัธยมก็ถูกต้องแต่นี่เป็นปลายทาง พร้อมย้ำอีกว่า ครูไม่ได้ถูกชี้มูลในส่วนนี้ เพราะเมื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบ ครูเป็นข้าราชการเหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศ จะต้องทำหน้าที่ตามระเบียบ ซึ่งหากครูสงสัยไม่ต้องเซ็น เมื่อไม่มีการเซ็น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จะไปหักล้างกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่ได้ และเงินงบประมาณจะไม่หายไปไหน แต่เพราะมีใบตรวจรับของผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และที่ 4 จึงทำให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไปยื่นหักล้างเงินยืมว่ามีการจ่ายไปต่องวดต่อครั้งครั้งละ 60,000 บาท ได้
ทั้งนี้ ตามขั้นตอนเมื่อมีการชี้มูลไปว่า ผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาก็สามารถใช้ดุลยพินิจของทางราชการที่จะดำเนินการได้ และคุณครูก็สามารถใช้สิทธิ ฟ้องศาลปกครองได้ ซึ่งเมื่อต้นสังกัดลงความเห็นให้ ปลดออก ไม่ได้ไล่ออกนั้น มองว่าครูยังได้บำนาญอยู่ เพราะรับราชการเกิน 25 ปี และยังใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เช่นกัน