"เราพร้อมจะสานสัมพันธ์กับทุกฝ่ายเสื้อก้าวข้ามความขัดแย้งและสร้างพลังความสามัคคีเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย เข้ามาหาทางออกร่วมกัน"
คำกล่าวของ"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพปชร. ระหว่างเปิดตัวผู้สมัคร พรรคพปชร. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566
ความพยายามสื่อสาร"ก้าวข้ามความขัดแย้ง" หากแต่ได้ปรากฎอยู่ในสื่อประชาสัมพันธ์ของพรรคพปชร. หรือแม้แต่เพจ"พล.อ.ประวิตร" ในหลายช่วงเวลาก่อนใกล้ถึงการเลือกตั้ง66 เพื่อต้องการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ หรือจุดยืนของหัวหน้าพรรคพปชร.ที่ชื่อ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ"
"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" หรือ “บิ๊กป้อม” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ "พี่ใหญ่" 3 ป. "บูรพาพยัคฆ์" ถือเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) คนส่วนใหญ่ที่เรียกกันเป็น “ทหารเสือราชินี” รวมถึงเป็นนายทหารรุ่นพี่ ที่สนิทสนมกับนายทหารอดีตผู้บัญชาการทหารบกสองนาย "พี่รอง" พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ "น้องเล็ก" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เปิดประวัติ "บิ๊กป้อม"
๐ เกิด 11 สิงหาคม 2488 อายุ 78 ปี
๐ มัธยมเซนต์คาเบรียล
๐ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6
๐ นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 17
อดีตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"ในปี พ.ศ. 2552 ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ประจำกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 98/2552
ในช่วงปลาย พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายา "ป้อมทะลุเป้า" สืบเนื่องจากผลงานด้านความมั่นคงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บรรลุเป้าหมาย เป็นที่ทราบกันเป็น "พี่ใหญ่" ของกลุ่มทหารเรียก "บูรพาพยัคฆ์" หมายถึงทหารที่เริ่มต้นรับราชการจาก ร.21
ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 "พล.อ.ประวิตร" ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา และเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาล"พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการกว่า 50 คณะ
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 "พลเอกประวิตร" ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุงานระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ใน"การเลือกตั้ง 66"
เพจ เรารักลุงป้อม "We love Lung Pom" ได้หยิบยก หนังสือบันทึกชีวิตที่ "พี่ใหญ่" ที่ถูกขนานนามว่า "เป็นเพื่อนแท้...แท้..ที่ไม่เคยทิ้งพื่อน คือ พี่ชายแสนดี ตลอดไป..." และ 'พี่ใหญ่' รู้! แต่คนอื่นอาจ 'ไม่รู้' มาเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 ไว้อย่างน่าสนใจ
รวมเรื่องเล่าไลฟ์สไตล์ของพี่ป้อม..ที่หลายคนอาจ "ไม่รู้" แต่ 'พล.อ.ประวิตร' คนเดียวที่รู้
"ชีวิตประจำวันของพี่ป้อม นอกเหนือจากงานในหน้าที่ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากคนใกล้ชิดทำให้ทราบว่าพี่ป้อม ก็คือ ปุถุชนคนธรรม ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ใจกว้าง สนุุกสนานเฮฮา และเป็นที่รักของเพื่อนฝูง"
คณะผู้จัดทำยังระบุว่าถึงบางมุมที่เป็นตัวตนที่แท้จริงอีกด้านของ พล.อ.ประวิตร มาบันทึกผ่านหนังสือ "พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี"
โดยหนังสือดังกล่าวเป็นการจัดทำในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 76 ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2564 หรือ 1 ปีก่อน คณะผู้จัดทำซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม ได้ปรารภร่วมกันว่า ควรจะจัดทำบันทึกเรื่องราวแบบเบื้องลึก เบื้องหลังเกี่ยวกับประวัติผลงาน ของพล.อ.ประวิตร ตั้งแต่วัยเยาว์ การศึกษา เส้นทางชีวิตในราชการทหาร จนถึงการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อถ่ายทอดให้สาธารณชนรับรู้ในหลายเรื่องที่ทุกคนอาจ "ไม่รู้"
ทั้งนี้ คณะผู้จัดทำยังระบุว่า "พล.อ.ประวิตร" ยังได้รับการเรียกขานจากคนใกล้ชิดว่า "เป็นเพื่อนแท้...แท้..ที่ไม่เคยทิ้งพื่อน คือ พี่ชายแสนดี ตลอดไป..."
หนังสือดังกล่าวได้บอกเล่า "พล.อ.ประวิตร" เกิดในครอบครัวทหาร มี พล.อ.ประเสริฐ วงษ์สุวรรณ เป็นบิดารับราชการเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ และ สายสนี วงษ์สุวรรณ เป็นมารดา ประกอบอาชีพค้าขาย
พล.อ.ประวิตร เป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 4 คน ตามลำดับ คือ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ (ปุ้ม) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (ป๊อด) อดีต ผบ.ตร. พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ (ก๊อก) และ พันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ (กุ๊ก)
ในวัยเด็ก มารดาของ "พล.อ.ประวิตร" ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกทั้ 5 คน เพราะ พล.อ.ประเสริฐ ต้องมีภารกิจเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำ เนื่องจากเงินเดือนทหารของบิดาในยุคก่อน ไม่สามารถจะให้ครอบครัว 7 ชีวิตใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย ทำให้ต้องรู้จักความพอเพียง โดยมารดาของ พล.อ.ประวิตร ต้องหารายได้เสริม ด้วยการขายอาหาร จำพวกข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มมัด กล้วยแขก และขนมอื่นๆ
"พี่ป้อม" ในฐานะพี่ชายคนโตต้องทำหน้าที่นำอาหารไปขายหรือไปส่งให้ลูกค้าตามสถานที่ต่างๆ
ความเป็นพี่ชายคนโตของน้องๆ จึงเริ่มฉายแววของความเป็นพี่ชายที่แสดน ของน้องๆ มาตั้งแต่วัยเยาว์
พล.อ.ประวิตร เข้าศึกษาโรงเรียนเซนต์คาเบรียล 10 ปี ด้วยเลขประจำตัว ซ.ค.5534 มีผลการเรียนดี รักในพวกพ้อง ทำให้เพื่อนๆ ยกให้พล.อ.ประวิตร เป็นผู้นำ
จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุุ่นที่ 6 ในปี 2506 เข้ารับราชการทหาร จนกระทั่งเป็น ผู้บัญชาการทหาร (ผบ.ทบ.) และเข้าสูู่ตำแหน่งทางการเมืองเป็น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
เมื่อ พล.ต.ประเสริฐ บิดาของ พล.อ.ประวิตร ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อปี 2527 ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องรับบทเป็นพี่ชายคนโตดูแลครอบครัว ด้วยความเป็นหนุ่มโสด ไม่มีครอบครัว ชีวิตจึงมีแต่งานและเพื่อนจนได้รับเลือกให้เป็นประธานรุ่นตลอดกาลของนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่นที่ 17
หนังสือดังกล่าวยังบันทึกถึงฉากชีวิตของ 3 ป. คือ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ถึงชีวิตรับราชการที่อยู่ร่วมกันของ 3 ป.
โดย 3 พี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์ มีความผูกพันกินนอนร่วมกัน เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตรเป็นผู้บังคับกองร้อย ที่กองพันทราบราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยพล.อ.ประวิตร เป็นคนเข้าครัวทำอาหารให้กับ พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ์ ทานเป็นประจำ
โดยหนังสือ "พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี" ได้บันทึกเรื่องราว "เป็นเพื่อนแท้ แท้...ที่ไม่เคยทิ้งเพื่อน" โดยระบุถึง "พี่คราม ปัฐวาท สุขศรีวงศ์" เพื่อนนักเรียนที่เคยเรียนด้วยกันกับ พล.อ.ประวิตร ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตั้งแแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยเป็นเพื่อนรักที่คบหากันมา 60 ปี
"ครอบครัววงษ์สุวรรณ และครอบครัวสุขศรีวงศ์ ต่างสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการทำบุญ เพราะพี่ป้อมและพี่คราม ต่างก็เดินทางในสายบุญด้วยกันมาหลายสิบปี โดยมักจะเดินสายทำบุญ สร้างศาสนสถาน ทอดกฐินและมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็ดในพื้นที่ต่างๆ และพี่ครามก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดอีกด้วย"
หนังสือดังกล่าวยังเล่าว่า ในเรื่องความสนิทของ พล.อ.ประวิตร และ ปัฐวาท โดยระบุว่า "พี่ป้อม พี่ครามนั้นสนิทกันมาก เคยไปกินไปนอนที่บ้านใน กองพล ปตอ.เป็นประจำ เตะฟุตบอลด้วยกัน ลอกการบ้านด้วยกัน กินข้าวฝีมือคุณย่า (สายสนี วงษ์สุวรรณ) ด้วยกัน พี่ป้อมถึงตัวจะเล็ก แต่ใจนักเลงไม่กลัวใครและมีคุณพ่อเป็นทหาร ก็มักจะช่วยเหลือปกป้องเพื่อน ไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแก"
"ความผูกพันของเพื่อนทั้งสองคนนี้มีมากจริงๆ ดูอย่างที่พี่ครามป่วยจนเดินแทบไม่ได้ พี่ป้องจะกุลีกุจอ ถามไถ่น้องๆ ว่ามีหมอเก่งๆ ที่ไหน แล้วรีบให้ฝ่าย เสธ.ติดต่อทันที และยังช่วยเหลือดูแลด้วยตัวเอง จนพี่ครามดีขึ้น สองคนนี้เขารักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง"
หนังสือบันทึกชีวประวัติเรื่องที่คนทั่วไปอาจ "ไม่รู้" จำนวน 217 หน้า ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณและสื่อมวลชนผ่านมือ 'ไพบูลย์ นิติตะวัน' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ
แม้จะไม่ระบุถึงชื่อของผู้ตีพิมพ์ แต่เชื่อว่าทุกบรรทัดที่ถูกเรียบเรียง น่าจะถูกถ่ายทอดออกจากปากของ ชายที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร ผู้ที่มักตอบคำถามสื่อมวลชนด้วยคำว่า "ไม่รู้" อยู่เสมอ
ใครเล่าจะหารู้ไม่ว่า อนาคตชีวิตทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จะหมดลงในตำแหน่งนายกฯ ในปี 2565 หรือในปี 2568 หรือยาวไปถึงปี 2570
แต่น่าเชื่อว่าได้ อำนาจและบารมีทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร นั้น พล.อ.ประวิตร จะรู้อนาคตตัวเองอย่างแน่นอน เพราะนาทีนี้ 'พี่ใหญ่' คนนี้กำลังถูกมองว่าเป็นตัวเต็งนายกฯ คนต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะนอกหรือในบัญชีรายชื่อนายกฯ ก็ตาม
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร กรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯปี 57 ( ยื่นบัญชีทรัพย์สินรอบใหม่ แต่ไม่ต้องเปิดเผย หลังได้รับตำแหน่งรองนายกฯเมื่อปี 62 ตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช.) ระบุสถานะว่า โสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 87,373,757 บาท ไม่มีหนี้สิน แบ่งเป็นเงินฝาก 53,197,562.62 บาท เงินลงทุน 7,076,195.00 บาท ที่ดิน 17,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10,000,000 บาท ยานพาหนะ (รถยนต์ 1 คัน) 100,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่น