8 ธันวาคม 2567 จากกรณีแม่ร้องสื่อลูกชายวัย 26 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้าย ใช้ปืนตบหน้าซ้ำขี่รถ จยย.ทับคอ บาดเจ็บอาการสาหัส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 67 ช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. ที่บริเวณลานจอดรถหน้าร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ม.2 ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
ล่าสุด แม่ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยกับทีมข่าว "เนชั่นทีวี" ว่า ลูกชายยังอาการสาหัสอยู่ แต่สามารถพูดคุยได้ เบื้องต้นเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ได้เข้ารับการผ่าตัด ที่บริเวณดั้งและกะโหลก เนื่องจากกะโหลกศีรษะมีรอยร้าว
เธอ เปิดเผยต่อไปว่า ลูกชายเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ร้านอาหารดังกล่าวปิด ลูกชายตนได้เดินกลับมาที่ลานจอด รถ จยย. แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุเรียกลูกชาย ไปพูดคุยพร้อมสอบถามว่า ลูกชายเป็นคนที่ไหน ซึ่งลูกได้ตอบกลับไปว่า เป็นคนท่าสะอ้าน
ทางกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ถามต่อว่า รู้จักใครในพื้นที่ไหม ลูกชายจึงตอบกลับไปว่า เป็นลูกลุงคนหนึ่ง (ซึ่งลุงคนดังกล่าวเป็นคนที่ชาวบ้านนับหน้าถือตาและเป็นที่รู้จักกันในระแวกนั้น) กลุ่มผู้ก่อเหตุจึงพูดขึ้นมาทำนองดูหมิ่นคนที่ลูกชายตนนับถือ ลูกตนจึงได้สวนกลับไปว่า ทำไมถึงพูดแบบนั้น และมีการต่อว่ากัน จนเกิดการทำร้ายร่างกายลูกตนเอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
โดยหลังเกิดเหตุ ฝั่งคู่กรณีพยายามโทรมาเจรจา เพื่อไม่ให้เอาความ ให้รับเงินไปโดยจะจ่าย 2-3 หมื่นบาท ตนจึงถามกลับไปว่า ลูกชายตนเป็นหนักขนาดนี้ กระดูกหน้าแตกร้าวทั้งหน้าจนต้องเข้ารับการผ่าตัด จะให้ยอมความได้อย่างไร ทำไมถึงต้องทำร้ายลูกตนขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อนด้วยซ้ำ
ด้าน พ.ต.อ.พงศ์สัณห์ มีศรี ผกก.สภ.บางประกง เปิดเผยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้มีการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำแล้ว พร้อมกับเชิญตัวผู้ก่อเหตุ 2 ราย ชื่อนายปั๊ก และนายรุจ (ทั้งสองนามสมมติ) มารับทราบข้อกล่าวหา ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ซึ่งผู้ก่อเหตุยอมรับว่าก่อเหตุจริง ก่อนจะมีการปล่อยตัวเป็นการชั่วคราว เนื่องจากยังต้องรอผลการตรวจร่างกายจากแพทย์
จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า หลังจากร้านเหล้าปิด ได้มีการเดินไปที่ลานจอดรถ และทะเลาะกับผู้บาดเจ็บ มีการชกต่อยกันตัวต่อตัว ไม่ได้มีการรุมทำร้าย
ส่วนประเด็นที่ขับรถ จยย.เหยียบคอผู้บาดเจ็บนั้น ผู้ต้องหาอ้างว่า เป็นเพียงการขับรถหนีไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิด เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และไม่ได้มีการใช้ปืนตบหัวอย่างที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจาแล้ว ทางฝ่ายแม่ผู้บาดเจ็บไม่ติดใจอะไร จึงได้ปล่อยตัวไปก่อน รอผลตรวจร่างกายออกมา จะนำหลักฐานดังกล่าวประกอบสำนวน ส่งศาลต่อไป
เพื่อนคนเจ็บเล่าเหตุการณ์
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนของผู้บาดเจ็บ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย โดยนายเจมส์ (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ตนเองและผู้บาดเจ็บ ได้นัดหมายว่าวันนั้นจะมาดื่มกินที่ร้านดังกล่าว โดยมีเพื่อนที่มาด้วยอีก 3 คน เมื่อร้านปิดก็ได้เดินทางกลับมายังจุดเกิดเหตุ แต่ผู้บาดเจ็บถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุเรียกไปพูดคุย ซึ่งตนไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน
แต่หลังจากนั้นก็เกิดมีปากเสียง ทะเลาะกัน โดยผู้บาดเจ็บ ได้ดวลเดี่ยวกับนายปั๊ก ซึ่งเป็นคนที่รู้จักเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มนั้น โดยมีเพื่อนๆ ของคู่กรณีคอยยืนคุมเชิง หลังจากที่ทั้งคู่สู้กันไปสักพัก กลุ่มคู่กรณีบางคนก็เข้าไปช่วย ตนเห็นเพื่อนอาการเริ่มไม่ดี จึงช่วยเข้าไปช่วยห้าม แต่ถูก 2 คน ซึ่งอยู่ในกลุ่มคู่กรณี ผลักออกมา และนายรุจ ใช้อาวุธปืน ตบไปที่หน้าหลายครั้ง ซึ่งในจังหวะที่ตบเกิดปืนลั่นขึ้นที่บริเวณข้างหู ตนเอง 1 นัด
ขณะที่ นายแมน (นามสมมติ) และนายนัด (นามสมมติ) เพื่อนคนเจ็บ กล่าวเสริมว่า หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย นายรุจได้พยายามขี่ จยย. มาเหยียบที่บริเวณคอและร่างกายของเพื่อนตนเองที่นอนหมดแรงอยู่บนถนน และพยายามจะยิงเพื่อนของตนซ้ำ แต่โชคยังดีที่กลุ่มเพื่อนของนายรุจห้ามไว้ และให้นายรุจออกจากที่เกิดเหตุ
กล้องวงจรปิดจับภาพชัด
นอกจากนี้ ทีมข่าว ยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ที่สามารถจับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ จากภาพบางส่วนพบว่า วันเกิดเหตุ ช่วงเวลา 01.31 น. ซึ่งเป็นช่วงผู้บาดเจ็บ ได้ทะเลาะกับนายปั๊ก และล้มลงไปแล้ว โดยมีนายรุจ พร้อมพวกคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ
ในขณะเดียวกันก็มีนายเจมส์ เพื่อนของผู้บาดเจ็บพยายามที่จะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ถูกนายรุจ พร้อมเพื่อนอีกคนกันออกมา พร้อมใช้บางสิ่งบางอย่างชี้ไปที่ศีรษะของนายเจมส์ และตบเข้าไปที่ใบหน้า 1 ครั้ง จากนั้นก็มีการกันนายเจมส์ออกไปที่บริเวณท้ายรถตู้ ก่อนจะมีเสียงดังลักษณะคล้ายเสียงปืน 1 นัด
ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดยังจับภาพเหตุการณ์ที่ค่อนข้างตรงข้ามกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงคำให้การของผู้ต้องหา ว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะเหยียบผู้บาดเจ็บ แค่ขี่รถหลบหนีเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงตามภาพกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่า ผู้ก่อเหตุนั้นขี่รถออกไปแล้ว ก่อนจะวกกลับมาเหยียบผู้บาดเจ็บ
นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า ผู้ก่อเหตุนั้น รู้จักและเป็นเพื่อนกับสท. ชื่อดัง และว่าที่สท. ชื่อดังในพื้นที่ พร้อมทั้งพยายามวิ่งเต้น เพื่อช่วยในเรื่องของคดีความ จนทำให้ฝั่งญาติของผู้บาดเจ็บนั้นรู้สึกเกรงกลัวในเรื่องของความปลอดภัย และกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ เผยว่า ไม่มีกล้องวงจรปิดอื่นใดในที่เกิดเหตุนอกจากกล้องวงจรปิดของร้าน