กลุ่มผู้เสียหาย โดนพนักงานธนาคารดัง ปลอมเอกสารกู้ ร้องสภาทนายความช่วยคดี

4 กันยายน 2567 ที่ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน กทม. นายวิเชียร ชุปไธสง นายกสภาทนายความ พร้อม นายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ นายวรกร ไหลหรั่ง อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ สภาทนายความฯ ร่วมแถลงข่าวรับเรื่องร้องทุกข์จาก กลุ่มลูกหนี้ ซึ่งได้รับความเสียหายจากการที่ไปลงชื่อในแบบคำขอกู้ยืมเงินจากธนาคารต่างๆ โดยที่ไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาเจ้าหน้าที่ของธนาคารต่างๆหลายธนาคารได้กรอกข้อมูลรวมทั้งจำนวนเงิน ทำให้ลูกหนี้

 

บางรายรับชำระเงินตาม สัญญากู้ยืมเงินหรือบางรายได้รับมาไม่ตรงตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งลูกหนี้ได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากพนักงานของธนาคาร  และธนาคารชื่อดังมีผู้เสียหายรวมกว่า 100 ราย โดยวันนี้มีตัวเเทนผู้เสียหาย 10 กว่าคนมายื่นคำร้อง 

โดย นายณัฏฐ์สรชัช ธนาชัยจิตรรวี ตัวแทนผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกค้าและประชาชนที่ได้รับที่ได้รับผลกระทบจาก พนักงานและธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยพนักงานและธนาคารร่วมกันกระทําการปลอมแปลงเอกสาร ใช้เอกสารปลอม ขึ้นมานำเสนอให้พวกเราผู้เสียหายเชื่อใจแล้วถูกหลอกลวง จนเสียหายหลายล้านบาท มีการปกปิดข้อมูล ปลอมเอกสาร

 

ดึงเวลาในการให้หลักฐานแก่พนักงานสอบสวน อัยการ ทั้งนี้มีลูกค้าและประชาชนได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างทั่วประเทศ บางคนก็สูญเสียธุรกิจหมดตัว บางคนก็สูญเสียครอบครัว จากความเครียดมีคนคิดสั้น บางคนโดนฟ้องร้องดำเนินคดี ยึดทรัพย์ ล้มละลาย 

ดังนั้นพวกเราที่ทราบข่าวกันและกันผ่านทางสื่อออนไลน์ ว่าพบพฤติการณ์คล้ายๆกันจากพนักงานและธนาคารดังกล่าว จึงมีการรวมตัวกันไปร้องเรียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

โดยผู้เสียหายแต่ละคนเคยเข้าไปร้องแล้ว แต่ไปแบบส่วนบุคคลไม่ได้รวมตัวกันเรื่องจึงไม่มีความคืบหน้า ไม่มีความชัดเจน ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากธนาคารแห่งประเทศไทย จึงต้องมาขอให้ทางสภาทนายความช่วยเหลือฯ

 

อย่างไรก็ตาม มีตัวแทนผู้ ได้รับความเดือดร้อนจากสหกรณ์ครูและธนาคาร ถึงการดำเนินงานที่ไม่เป็นธรรมถูกหักเงินเดือน 100% เปอร์เซ็นต์ จากที่ควรหักแค่ 70% และเหลือให้ผู้กู้ยืม 30% มีหลักฐานว่าได้แจ้งไปแล้วว่า

 

คนที่กู้ยืมไม่ยอมให้หักทั้งหมดจากเงินเดือน เนื่องจากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายอื่นได้ ทำให้ถูกเจ้าหน้าหนี้รายอื่นมาฟ้อง เพราะไม่ได้ชำระหนี้ เคยมีการส่งเรื่องไปหาหลายหน่วยงานแล้ว แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ 

 

ล่าสุดที่มีคำสั่งศาลปกครองออกมา ให้ใช้ พ.ร.บ.สหกรณ์มาตรา 42 / 1 ที่สามารถจะหักเงินเดือนเราได้ 100% ขอถามว่าทางด้านมนุษยธรรมสามารถทำได้หรือไม่ ครูทั่วประเทศเดือดร้อนมาก

 

คาดว่ามีครูประมาณ 100,000 คนที่ได้รับผลกระทบ และทางสหกรณ์เป็นรัฐอิสระ ไม่มีหน่วยงานใดมาออกคำสั่งได้ แม้แต่กรรมการแก้หนี้จากรัฐบาล

 

ด้าน นายวิเชียร นายกสภาทนาย กล่าวว่า หลังจากนี้จะขอตรวจสอบรายละเอียดให้ครบถ้วน เพื่อนำมาประมวลว่าจะหาทางช่วยผู้ที่เดือดร้อน ผู้ที่มาร้องเรียนอย่างไรบ้าง เพราะว่าบางกรณีขึ้นสู่ศาลแล้ว คดีถึงที่สุดแล้ว มีการยึดทรัพย์แล้ว ก็ต้องเข้าไปดูว่ามันมีช่องทางในการที่จะเพิกถอนการบังคับคดีหรือไม่ หรือเพิกถอนการขายทอดตลาด รวมทั้งมีโอกาสในการที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ด้วยหรือไม่

 

ซึ่งต้องดูหลายๆอย่างมาประกอบส่วนเมื่อ แต่ข้อเท็จจริงแล้วจะเข้าฐานความผิดใดนั้นก็มีกฎหมายรองรับอยู่หากหลอกลวงก็เข้าข่ายฉ้อโกง การปลอมเอกสารก็มีฐานความผิดอยู่ ทั้งนี้ทุกอย่างมีกรอบกำหนดระยะเวลาอยู่และเวลาแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อได้ข้อสรุปทั้งหมดจะทำให้ทราบว่าเรื่องใดควรฟ้องในระเวลากี่ปี กี่เดือน 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ไกล่เกลี่ยภาครัฐกับภาคประชาชนมีอํานาจในการที่จะไกล่เกลี่ย แต่ตัวคู่กรณีเนี่ยคู่กรณี ต้องพร้อมที่จะเข้าทําการไกล่เกลี่ยด้วย ถ้าเราเสนอฝ่ายเดียวเขาไม่มามันก็ไกล่เกลี่ยไม่ได้ กรณีที่มีการบังคับคดีแล้วในชั้นบังคับคดี

 

สามารถทําการไกล่เกลี่ยได้ซึ่งกรมบังคับคดีก็ได้ดําเนินการในส่วนนั้นอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับคู่กรณีด้วย มองว่าปัญหาเรื่องหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของพี่น้องเกษตรกรก็ดีปัญหาเรื่องหนี้ของครูก็ดีมันเป็นเรื่องระดับชาติ ภาครัฐควรลงมาแก้ไขอย่างจริงจัง 

สำหรับการแก้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทางสภาทนายความพยายามที่จะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย การบังคับใช้กับประชาชนหรือกับข้าราชการมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามขอให้ทางผู้เสียหายเสนอจุดที่ต้องการแก้ไข ตนจะตั้งคณะทํางานขึ้นมาเพื่อทําการศึกษากฎหมาย พ.ร.บ.สหกรณ์ และเชิญผู้รู้ให้ข้อมูล

 

เพื่อที่จะนําไปซึ่งการเสนอแก้ไขกฎหมายโดยเสนอผ่านทาง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือขอเสนอแก้ไขภาคประชาชน โดยมีการระดมประชาชนร่วมลงชื่อร่วมกัน 10,000 คน จากนั้นให้เข้าพิจารณาตามลำดับต่อไป