svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ทั่วไทย

"แม่น้องชมพู่" เปิดใจ เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่ครอบครัวถูกมองใส่ร้ายจำเลย

"แม่น้องชมพู่" ยอมรับผิดหวังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา แต่เข้าใจเหตุผล พร้อมเปิดใจ เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่ครอบครัวกลับถูกมองว่าใส่ร้ายจำเลย ยืนยันเป็นคดีฆาตกรรม แม้ไม่มีดีเอ็นเอ ก็มีหลักฐานอื่น

31 ตุลาคม 2566 เมื่อเวลา 11.00 น. นายอนามัย และนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พร้อมด้วย นายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความส่วนตัว แถลงเปิดใจครั้งแรก หลังเข้าฟังการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษา "คดีน้องชมพู่" ออกไปเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น.

นางสาวิตรี กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ศาลเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษา แต่เข้าใจว่าศาลมีเหตุผลอันสมควร ซึ่งวันนี้ได้เจอลุงพล แต่ไม่ได้พูดคุยทักทายหรือมองหน้ากันเลย

สำหรับประเด็นที่ว่า น้องอาจเดินไปเสียชีวิตเอง ตนมองว่า คดีของน้องชมพูเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจมาก ทุกความเคลื่อนไหวทางคดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวมีการนำเสนอตลอดเวลา และบางอย่างไม่ใช่ถูกเสนอไปและถูกนำเสนอด้วยการเลือกฝั่งของยูทูบเบอร์ทำให้สังคมไขว้เขว

นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่

"ตัวเองรู้สึกสูญเสียแต่ถูกกระทำ ครอบครัวถูกมองว่าใส่ร้ายจำเลยมาโดยตลอด แต่ถ้าได้ติดตามก็จะเห็นว่าหลายครั้งฝั่งโน้น ได้พาดพิงจากประโยคที่ว่า สงสัยทำให้กลายเป็นจำเลยสังคม ทำให้ถูกประณามมาโดยตลอด ทั้งที่เรามีสิทธิ์ที่จะสงสัยว่า ใครเป็นคนทำลูกเรา แต่เรากลับถูกกระทำ" 

หลังจากที่สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งที่อัดอั้นตันใจคือความรู้สึกที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันไปมา เป็นระยะเวลานาน จนตอนนี้มองว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว แต่ถ้าในคดีความ ก็ไม่ได้กังวลใจอะไรเลย เพราะได้เห็นทุกอย่าง เกี่ยวกับหลักฐาน จึงไม่ได้กังวลตรงนั้น

ส่วนที่ทนายของลุงพล ออกมาบอกว่า ไม่พบดีเอ็นเอของลุงพลในตัวของน้องชมพู่เลย ก็เป็นสิทธิของทนาย ที่จะพูดเพื่อให้กำลังใจลูกความ แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้สูญเสีย คดีเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง จะมีคนร้ายและผู้ตาย ถ้าดีเอ็นเอของผู้ร้าย ไม่มาพัวพันกับผู้ตาย ก็จะต้องมีหลักฐานอะไรบางอย่าง ที่ผู้ตายไปพัวพันกับคนร้าย จึงไม่มีความกังวลใจอะไร เพราะเราได้เห็นความยุติธรรมในศาลทั้งหมดแล้ว

\"แม่น้องชมพู่\" เปิดใจ เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่ครอบครัวถูกมองใส่ร้ายจำเลย

หากวิญญาณลูกรับรู้ ก็ให้ลูกเป็นเด็กเหมือนเดิม ที่มีความสุข จริงๆ แล้ว ครอบครัวของเราอบอุ่นมาก ถึงแม้ว่าจะยากจนก็ตาม การตายของชมพู่ ทางครอบครัวไม่สามารถพูดคุยกันได้เลย แม้จะผ่านมา 3 ปีแล้ว ครอบครัวก็กลัวว่าหากพูดถึงอีก ครอบครัวก็จะกระทบต่อจิตใจ

พวกเราเลือกไม่ได้ พวกเราสูญเสีย เราไม่มีโอกาสได้เลือก แต่เขายังมีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองว่า ถูกใส่ร้ายหรือเปล่า แต่ว่าเราไม่มีโอกาส แม้ว่าหากเขาบริสุทธิ์ เราก็สูญเสียตลอดชีวิต"

สำหรับประเด็นของเรื่องสุนัขว่า มีโอกาสนำพาน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขา นางสาวิตรี บอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะพาน้องชมพู่วิ่งออกนอกบ้าน และน้องจะวิ่งตาม เนื่องจากนิสัยของน้องชมพู่ถ้าจะออกไปนอกพื้นที่ จะหันมามองแม่ตลอด อีกทั้ง ส่วนตัวเลี้ยงสุนัขแบบปล่อย ไม่ได้เลี้ยงให้เป็นเพื่อนลูก และน้องชมพู่เป็นเด็กเล็ก ไม่ได้ปล่อยให้เล่นกับสุนัข

ปลาส้ม หมาของน้องชมพู่

นางสาวิตรี กล่าวอีกว่า ไม่พบดีเอ็นเอบนเสื้อผ้าน้อง แม่ก็มองว่า เหตุที่เกิดขึ้นกับน้องชมพู่เป็นการฆาตกรรมอำพราง และต่อให้ไม่มีดีเอ็นเอ ก็ยังมีหลักฐานอื่นๆ ยืนยัน เห็นทุกอย่างในคดี ซึ่งต่อให้ศาลมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปก็ไม่ได้กังวล

ด้าน นายอนามัย พ่อน้องชมพู่ กล่าวว่า หลังจากที่รอคอยวันนี้มานาน แต่จำเป็นต้องเลื่อน ก็มีความเสียใจเล็กน้อย แต่จำเป็นต้องรอต่อไป ยอมรับ ยังคิดถึงน้องชมพู่ตลอดเวลา หากวิญญานรับรู้ ต้องการบอกว่า น้องชมพู่ควรจะมีความสุข

นางสาวิตรี-นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อแม่น้องชมพู่

ด้าน ทนายพิสิษฐ์ กล่าวว่า ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา เนื่องจากการตรวจร่างยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นกระบวนการตามปกติ ซึ่งจะเลื่อนไปช่วงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น. ส่วนตัวคิดว่าไม่มีผลกระทบกับคดีเนื่องจากมีการสืบพยานไปแล้ว

ส่วนประเด็นที่ ทนายฝ่ายลุงพล ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องไม่พบดีเอ็นเอ นั้น ทนายพิสิษฐ์ บอกว่า ถึงไม่พบ ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาผิดไม่ได้ เพราะมีพยานหลักฐานอื่นๆ ประกอบกัน อาทิ พยานแวดล้อมและพยานบุคคล ส่วนตัวไม่สามารถตอบได้ว่า พยานหลักฐานทั้งหมดจะเพียงพอในการที่ศาลตัดสินลงโทษลุงพลหรือไม่ เนื่องจากจะก้าวล่วงอำนาจศาล แต่บอกได้เพียงว่า พยานที่สืบมาทั้งหมด ทั้งพยานหลักฐาน พยานวัตถุ ตัวเองเชื่อมั่น

\"แม่น้องชมพู่\" เปิดใจ เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่ครอบครัวถูกมองใส่ร้ายจำเลย

ยืนยันการสืบพยาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองฝั่งวิเคราะห์ว่าน้องชมพู่ สามารถเดินขึ้นภูเหล็กไฟไปเองได้หรือไม่ และเชิญนักโภชนาการมาดูว่า เด็กกินข้าวแค่นี้ มีพลังงานเพียงพอจะสามารถเดินขึ้นไปยังจุดพบศพเองได้หรือไม่ พร้อมมองว่าการเลื่อนอ่านคำพิพากษาไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับคดี เป็นเพียงกระบวนการตามปกติ ซึ่งตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะมีการเลื่อนอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล แต่เชื่อว่าครั้งหน้าน่าจะเสร็จสิ้น