9 ธันวาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ในฐานะผู้แจ้งเบาะแส ร่วมกันแถลงข่าว กรณีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ใช้อำนาจตามกฎหมายยึดทรัพย์ขยายผลมาจากการคดีสถานบันเทิงจินหลิง ที่มี นายชัยณัฐร์กรณ์ ชายานันท์ หรือ “ตู้ห่าว” เป็นเจ้าของ
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากการที่ นายชูวิทย์ ได้นำข้อมูลมามอบให้ และการดำเนินการของชุดปฏิบัติการพาลีปราบยา ทำให้เจ้าหน้าที่ได้ออกปฏิบัติการอายัดทรัพย์สินนำมาส่งมอบให้กับกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้อำนวยการศูนย์ยาเสพติด ป.ป.ส. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ออกอายัดทรัพย์สินของบริษัท โรงแรมดีวาลักซ์ รีสอร์ทแอนด์สปาสมุทรปราการ จากข้อมูลเป็นบริษัทที่ก่อตั้งเมื่อปี 2555 มีทุนจดทะเบียน 50 ล้าน โดยมีนางพัชรินทร์ / นางรัตนา / นายตู้ห่าว ร่วมเป็นกรรมการบริษัท ต่อมาในปี 2559 ถึงปี 2561 บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงแรมดีวาลักซ์ฯ
โดยโรงแรมนี้มีจำนวน 9 อาคาร มีขนาดพื้นที่ 39 ไร่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และปัจจุบันมีการเปิดบริหารให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้าพัก
จากนั้นแม้จะปรับเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่ แต่ยังมีนางพัชรินทร์ เป็นกรรมการอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการอายัดทรัพย์สิน เป็นโฉนดที่ดิน 5 แปลง อาคาร 9 ตึก รวม 375 ห้อง เป็นห้องลักชูรี่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้าน และยังมีรถหรูรวม 20.9 ล้านบาท รวมมูลค่าที่ตรวจยึดครั้งนี้กว่า 3,020 ล้านบาท
ซึ่งมูลค่ายึดทรัพย์ที่กล่าวมา ไม่รวมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ป.ป.ส ได้ยึดอาทรัพย์ไปก่อนหน้านี้กว่า 1,100 ล้านบาท ที่ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์หลายรายการ ซึ่งยังมีเอกสารรายละเอียดบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ
ส่วนยอดการอายัดทรัพย์สินของตำรวจที่ระบุว่า ทรัพย์สินของ “นายตู้ห่าว” มีประมาณ 5,000 ล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ยังไม่ได้รับข้อมูลแต่มีการประสานกันโดยตลอด และยืนยันว่า ไม่มีเรื่องความขัดแย้งในการทำงาน
สำหรับคดีของนายตู้ห่าว ถูกดำเนินคดีฐานสมคบยาเสพติด ถือเป็นองค์ประกอบการฟอกเงิน แต่ในส่วนของการอายัดทรัพย์สิน นายตู้หาว ยังจำเป็นต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์ให้ได้การอายัดจึงหมดไป และทรัพย์สินของนายตู้ห่าว ยังมีอีกมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่ออายัดทรัพย์ต่อไป
นายสมศักดิ์ ยังยอมรับว่า คดียาเสพติดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นอำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. แต่หากเป็นคดีที่เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักร เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด ส่วนประเด็นที่ตำรวจยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินกับนายตู้ห่าวนั้น การอายัดทรัพย์ขนาดนี้ใช้อำนาจกฎหมายของ ป.ป.ส. ซึ่งถือว่า ยาเสพติดเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดการฟอกเงิน ดังนั้นการแจ้งข้อกล่าวหา ฟอกเงินหรือไม่ เป็นอำนาจการสอบสวนคดีอาญาที่ตำรวจรับผิดชอบอยู่แล้ว
ขณะที่นายชูวิทย์ ยืนยันย้ำว่า ส่วนแบ่งร้อยละ 5 ในการแจ้งเบาะแสเครือข่ายยาเสพติดตนเองไม่นำไปใช้ และจะนำไปมอบให้โรงพยาบาลที่งหมด พร้อมตั้งข้อสังเกตการถึงกรณีที่ตำรวจยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตู้ห่าวฐานฟอกเงิน ว่า ที่ไม่แจ้งข้อกล่าวหาการฟอกเงินของพนักงานสอบสวน ทำให้ต้องนำข้อมูลหลักฐานไปยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณา และในอนาคต อาจรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( DSI ) พิจารณารับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษต่อไป
พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่า ที่ยังไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าว และยังให้นางพัชรินทร์ เป็นพยาน เป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ และตนเองจะจับตาการดำเนินคดีนี้แน่นอน พร้อมยอมรับว่า ตอนนี้เริ่มไม่เชื่อการทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. แล้ว
นายชูวิทย์ ยังพูดถึงกรณีที่ “จ้าวเหว่ย” ประธานเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ชวนนายชูวิทย์ไปเยือนคิงส์โรมันนั้น นายชูวิทย์ ถามกลับ ‘ขอเชิญจ้าวเหว่ย แห่งคิงส์โรมัน ขอเชิญมากรุงเทพฯ เพื่อมาชมสิ่งผิดกฎหมายของกลุ่มจีนเทา แล้วตนก็จะไปเยี่ยมคุณแต่ขอเชิญคุณมาก่อน และจะพามาดูสิ่งดีๆ ของไทยด้วย’