นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย พนมมือไว้อาลัยแก่ชาย 26 คน ที่ถูกยิงสังหารในรัฐจัมมูและแคชเมียร์เมื่อวันอังคาร ขณะเขาร่วมปราศรัยในรัฐพิหารในวันพฤหัสบดี และประกาศว่า จะไล่ล่า, ติดตาม และลงโทษผู้ก่อเหตุ โดยจะไล่ล่าไปจนสุดขอบโลก แต่เขาไม่ได้ระบุสัญชาติของมือปืน หรือพูดพาดพิงถึงปากีสถาน
ขณะที่ตำรวจในรัฐจัมมูและแคชเมียร์เผยแพร่ภาพสเก็ตช์ของมือปืนชาย 3 คน และระบุตัวผู้ต้องสงสัย พร้อมกับประกาศเงินรางวัลนำจับ 2 ล้านรูปี สำหรับการแจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม ผู้ต้องสงสัย 2 คน ถูกระบุว่า เป็นพลเมืองปากีสถาน และผู้ต้องสงสัยทั้งหมดเป็นสมาชิกของกลุ่มลัชการ์-อี-ไทบา (LeT) กลุ่มติดอาวุธในปากีสถาน ที่เคยวางแผนโจมตีหลายครั้งทั้งในอินเดียและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเหตุโจมตีนาน 3 วัน ในเมืองมุมไบเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 และกลุ่มนี้ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ
ก่อนหน้านี้กลุ่ม The Resistance Front ซึ่งเป็นกองกำลังชาวแคชเมียร์ ประกาศความรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิงใส่นักท่องเที่ยว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน และผู้บาดเจ็บ 17 คน กลางทุ่งหญ้าในหุบเขาไซารัน แหล่งท่องเที่ยวในแคชเมียร์ กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 และเชื่อว่าเป็นสาขาของลัชการ์-อี-ไทบา
เหตุก่อการร้ายนองเลือดครั้งล่าสุดในแคชเมียร์ ซึ่งเป็นดินแดนพิพาทที่ทั้งอินเดียและปากีสถานครอบครองคนละส่วนแล้ว ทำให้อินเดียออกมาตรการตอบโต้ต่อปากีสถานแล้ว โดยลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ถอนผู้ช่วยทูตทหารในปากีสถาน และลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของสถานทูตในกรุงอิสลามาบัดเหลือ 30 คน จาก 55 คน ระงับสนธิสัญญาแบ่งปันแม่น้ำสินธุที่บังคับใช้มานาน 60 ปี และปิดจุดผ่านแดนทางบกที่มีแห่งเดียว
ขณะที่ในเมืองพาลฮาแกมยังคงสงบเงียบ ร้านค้า โรงแรม และธุรกิจต่าง ๆ ยังปิดทำการเป็นวันที่ 2 และนักท่องเที่ยวพากันเดินทางออกจากรัฐจัมมูและแคชเมียร์ จนมีผู้โดยสารแน่นขนัดที่สนามบินในเมืองศรีนาคา นอกจากนี้ชาวอินเดียรวมตัวประท้วงทั้งในกรุงนิวเดลีและอีกหลายเมืองทั่วประเทศ และเผาธงชาติปากีสถานด้วยความโกรธแค้น
ส่วนประชาชนในปากีสถานวิจารณ์การตัดสินใจของอินเดียที่ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และเตือนว่าอาจยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้หยุดกล่าวโทษปากีสถานโดยไม่มีมูลความจริง
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ของปากีสถาน ประกาศมาตรตอบโต้อินเดีย โดยบอกว่า ความพยายามหยุดยั้งหรือผันน้ำที่ควรเป็นของปากีสถาน เทียบเท่าประกาศสงครามและจะต้องเผชิญการตอบโต้เต็มกำลัง และปากีสถานจะใช้สิทธิระงับข้อตกลงทวิภาคีทั้งหมดกับอินเดีย รวมทั้งปิดจุดผ่านแดนโดยมีผลทันทีเช่นกัน
นอกจากนี้ปากีสถานยังระงับวีซ่าทั้งหมดที่ออกให้ชาวอินเดียภายใต้โครงการยกเว้นวีซ่า และคนที่ได้รับยกเว้นวีซ่าจะต้องออกจากปากีสถานภายใน 48 ชม. และประกาศให้ที่ปรึกษาทางทหารของอินเดียในปากีสถานเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ และสำนักงานข้าหลวงใหญ่อินเดียในกรุงอิสลามาบัดจะลดจำนวนเจ้าหน้าที่เหลือ 30 คน มีผลตั้งแต่ 30 เมษายน
ปากีสถานยังสั่งปิดน่านฟ้าไม่ให้เที่ยวบินของสายการบินที่อินเดียเป็นเจ้าของหรือดำเนินงานบินผ่านโดยมีผลทันที และการค้าทั้งหมดกับอินเดีย ที่รวมถึงการค้าขายผ่านประเทศที่สามสู่ปากีสถานจะถูกระงับเช่นกัน