ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางถึงกรุงพนมเปญในวันพฤหัสบดี (17 เมษายน) เพื่อเยือนอย่างเป็นทางการนาน 2 วันตามคำเชิญของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์ โดยพระองค์เสด็จต้อนรับที่สนามบิน และทั้งสองร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นอกจากนี้ยังมีฮุน เซน ประธานวุฒิสภาร่วมให้การต้อนรับผู้นำจีนด้วย
การเยือนกัมพูชาครั้งนี้เป็นการเยือนครั้งครั้งแรกในรอบ 9 ปีของประธานาธิบดีสี หลังการเยือนเมื่อปี 2559 และการเยือนล่าสุดกำหนดไว้นานแล้ว แต่มีขึ้นในช่วงที่จีนกำลังเผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสินค้าจีนเจอภาษีตอบโต้ 145% และสินค้ากัมพูชาเจอภาษีตอบโต้อัตรา 49% แต่กัมพูชาอยู่ในกลุ่มประเทศส่วนใหญ่ที่ได้ระงับภาษี 90 วัน
กัมพูชาเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้ารายใหญ่ไปยังตลาดสหรัฐฯ และเป็นหุ้นส่วนใกล้ชิดกับจีน โดยจีนลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการต่าง ๆ ของกัมพูชา ซึ่งรวมถึง ถนน และสนามบิน และจีนยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาอีกด้วย
โฆษกกระทรวงการคลังของกัมพูชา เผยกับสื่อก่อนผู้นำจีนจะเดินทางถึงพนมเปญว่า กัมพูชาคาดหวังความร่วมมือมากขึ้นจากจีน ซึ่งรวมถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากสื่อซักถามว่า กัมพูชาหวังหรือไม่ว่าจีนจะประกาศเพิ่มเงินช่วยเหลือโครงการขุดคลองยาว 180 กม. ที่ข้ามแม่น้ำโขงจากฝั่งใกล้พนมเปญไปยังอ่าวไทย ขณะที่จีนยังไม่เคยให้คำมั่นเรื่องการสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการนี้
จีนไม่ได้อนุมัติเงินกู้ก้อนใหม่แก่กัมพูชานับจากปี 2567 แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนที่ปล่อยกู้หลายแสนล้านดอลลาร์ ปัจจัยส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีนตัดลดการลงทุนในต่างประเทศ เพราะปัญหาเศรษฐกิจในประเทศและความกังวลเรื่องโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ขณะที่ผู้นำจีนเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ของกัมพูชาก่อนเดินทางถึงพนมเปญ ที่ระบุว่า เขาหวังว่าการเยือนครั้งนี้จะส่งเสริมความก้าวหน้าของการสร้างประชาคมจีน-กัมพูชาที่มีอนาคตร่วมกัน และให้คำมั่นว่า จีนจะทำงานร่วมกับกัมพูชาเพื่อปกป้องสันติภาพ, แสวงหาการพัฒนา และประสบความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ตลอดจนสร้างเสถียรภาพและความแน่นอนให้กับโลกที่ปั่นป่วนใบนี้
ประธานาธิบดีสีเยือนกัมพูชาเป็นชาติสุดท้าย หลังการเยือนเวียดนามและมาเลเซีย โดยโดยพยายามให้ความมั่นใจว่า จีนเป็นหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้ และเรียกร้องให้เอเชียผนึกกำลังกันต่อต้านการรังแกฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงปกป้องระบบการค้าพหุภาคี